ทว่าหลินไต้อวี้กลับคว้าตัวรุ่ยจูเอาไว้และแสร้งตะโกนเหมือนไม่รู้เรื่อง “พี่เป่าอวี้ นี่เป็นทางไปสวนทิศใต้จริงหรือ ข้าไม่เห็นเงาใครเลยสักคน ท่านคงไม่คิดจะหลอกข้ามาที่รโหฐานหรอกนะ”
จย่าเป่าอวี้มองนางอย่างอึ้งๆ เพราะไม่เข้าใจในเจตนาของนาง ต่อมาเขาก็ถูกหลินไต้อวี้ลากเข้าไปที่ด้านหลังพุ่มไม้ และเพียงชั่วอึดใจบ่าวหญิงกับบ่าวชายที่อยู่ในห้องก็เปิดประตูแล้ววิ่งออกมา
โคมป้องกันลมที่แขวนอยู่ข้างทางสายเล็กส่องให้เห็นเงาของสองคนนั้นอย่างชัดเจน จย่าเป่าอวี้พิศดูอย่างละเอียดแล้วพบว่าบ่าวหญิงผู้นั้นคือภรรยาโจวรุ่ย ผู้ติดตามของท่านแม่ และบ่าวชายผู้นั้นคือจินเหวินเสียง พ่อบ้านของท่านย่า…
นี่มันเรื่องอะไรกัน! เขาตัวสั่นน้อยๆ
เพราะ…เพราะเหตุใดบ่าวหญิงกับพ่อบ้านในคฤหาสน์ถึงต้องสังหารฉินเข่อชิงเล่า!
เขารู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่าง แต่ยังไม่ทันได้สงบใจ หลินไต้อวี้ที่อยู่ข้างกายเขากลับพุ่งตัวนำออกไป ถึงเขาอยากจะรั้งนางไว้แต่ก็ไม่ทัน ทำได้เพียงตามหลังนางกับรุ่ยจูเข้าไปในห้องแล้วรีบปิดประตู
ทันทีที่หันไปก็เห็นรุ่ยจูฟุบตัวร้องไห้อยู่บนร่างของฉินเข่อชิงที่สลบอยู่บนพื้น จย่าเป่าอวี้ตัวแข็งทื่อก่อนเริ่มมีอาการสั่นน้อยๆ
เขาราวกับสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงทำให้ไม่อาจทำสิ่งใด ผิดกับหลินไต้อวี้ที่แนบหูฟังที่หน้าอกของฉินเข่อชิงแล้วเงยหน้าขึ้นมาร้องบอกทันทีว่า “หัวใจยังเต้น ยังมีลมหายใจ เรารีบพานางไปเร็ว!”
“นายหญิงยังมีชีวิตอยู่หรือ…” รุ่ยจูร้องไห้จนถามแทบไม่ได้ศัพท์ มือเล็กๆ ลูบเลือดที่มุมปากของฉินเข่อชิงออก
“ยังมีชีวิตอยู่แน่นอน” หลินไต้อวี้รีบพยุงคนขึ้น แต่เนื่องจากแรงนางน้อยเกินไปจึงจำเป็นต้องหันไปขอความช่วยเหลือ “จย่าเป่าอวี้ ท่านยังจะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นทำอะไร รีบหน่อยสิ!”
จย่าเป่าอวี้ถึงได้สติกลับมาทันที เขารีบทรุดตัวลงนั่งยองๆ เพื่ออุ้มฉินเข่อชิงขึ้นมา แต่กำลังของเขาใช่ว่าจะอุ้มคนขึ้นมาง่ายๆ และในจังหวะนี้เอง…
“มีคนมา” หลินไต้อวี้พูดเสียงเบาพลางกวาดตามองซ้ายขวา “ลากนางไปที่ใต้โต๊ะหนังสือก่อน”
จย่าเป่าอวี้ไม่ตอบแต่เค้นกำลังทั้งหมดเพื่อลากตัวฉินเข่อชิงไปไว้ที่ใต้โต๊ะหนังสือ ระหว่างที่เขาคิดว่าคนข้างนอกจะเปิดประตู…“ไม่ถูก เหตุใดพวกเราจึงต้องซ่อนตัวไม่ให้พวกเขาเห็น” เขาเป็นคุณชายสกุลจย่า หรือพวกนั้นจะกล้าลงมือกับเขาด้วย? คิดจะเป็นปฏิปักษ์กันหรือไร
หลินไต้อวี้กำลังคิดหนักว่าควรทำอย่างไรต่อไป แต่แล้วนางกลับได้กลิ่นน้ำมันตะเกียง ตามมาด้วยเสียง บานประตูลั่นดังเปรี๊ยะๆ เมื่อไอร้อนได้แทรกผ่านเข้ามาให้เห็นเปลวไฟได้เลือนๆ
“เป็นไปไม่ได้” หลินไต้อวี้จ้องบานประตูที่เริ่มไหม้ไฟอย่างทึ่มทื่อ
พวกนั้นตั้งใจวางเพลิงเผาห้องเพื่อทำลายศพและร่องรอยมาตั้งแต่ต้น!
จย่าเป่าอวี้มองไปทางหน้าต่างที่มีอยู่แค่บานเดียว “ปีนหน้าต่างออกไป เร็ว!”
หลินไต้อวี้กับรุ่ยจูช่วยกันยกตัวฉินเข่อชิงให้จย่าเป่าอวี้อุ้มหนีออกไปทางหน้าต่าง จากนั้นจย่าเป่าอวี้ก็หันกลับมาอุ้มหลินไต้อวี้ ทว่าเมื่อเขาหันไปรับตัวรุ่ยจู เขากลับเห็นนางกำลังมองเป่าจูที่นอนหมดลมหายใจอยู่ที่พื้น
“จะช่วยนางด้วยหรือ” จย่าเป่าอวี้ทำท่าจะปีนกลับเข้าไปในห้อง
แต่รุ่ยจูรีบผลักเขากลับออกมา “คุณชายรองเป่า ได้โปรดช่วยนายหญิงด้วย!”
“เข่อชิงปลอดภัย เจ้าออกมาได้แล้ว”
“ข้าไปไม่ได้”
“เพราะเหตุใด” จย่าเป่าอวี้ไม่เข้าใจ
“เพราะการที่พวกเขาวางเพลิงแสดงว่าต้องมีคนบงการ คอยให้ถึงตอนดับไฟหรือทุกอย่างไหม้หมด พวกนั้นจะต้องมาตรวจดูจำนวนศพแน่ๆ หากศพหายไปศพหนึ่ง พวกเขาก็จะรู้ว่านายหญิงได้รับความช่วยเหลือให้หนีออกไป” รุ่ยจูมีน้ำตาอาบเต็มใบหน้า แต่นางกลับค่อยๆ แย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนและเด็ดเดี่ยว
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรน่ะ ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง ไม่มีทางปล่อยให้เข่อชิงต้องตายอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่แน่ รับรองว่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรอีก” จย่าเป่าอวี้พูดเสียงหนักแน่น สะกดความตื่นกลัวในใจเพื่อแสดงความเยือกเย็นและพึ่งพาได้
“คุณชายรองเป่า ท่านน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าถ้าหากนายหญิงไม่ตาย เรื่องนี้ก็ยากที่จะจบ เช่นนั้นก็ให้ข้าเป็นตัวแทนนายหญิงดีกว่า ขอท่านช่วยดูแลนายหญิงให้ดีและหาทางพานางออกไปจากจวนให้ได้” รุ่ยจูกล่าวจบก็คุกเข่าลงโขกศีรษะแรงๆ
“รุ่ยจู เจ้าอย่าทำอะไรโง่ๆ นะ พวกเราสามารถ…” หลินไต้อวี้ฟังบทสนทนาของทั้งสองคนแล้วรู้สึกผิดปกติจึงตั้งท่าจะห้าม แต่กลับเห็นรุ่ยจูลุกพรวดแล้ววิ่งพุ่งชนผนังอย่างแรง ก่อนร่างของนางจะล้มลง บนพื้นใต้ร่างค่อยๆ มีเลือดไหลทะลักออกมา ทำให้สองหนุ่มสาวได้แต่ตะลึงค้าง พูดอะไรไม่ออก
สายลมยามค่ำในเดือนแปดมีไอร้อนแทรกอยู่ในความเย็น ทว่าจย่าเป่าอวี้กลับตัวสั่นอย่างไม่อาจห้ามและรู้สึกเหมือนตนกำลังอยู่ท่ามกลางพายุหิมะในช่วงฤดูเหมันต์ที่หนาวจัด