ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิทานรักนักษัตรปีมะเส็ง บทที่ 4
“คุณชายรองเป่าทำอะไรอยู่น่ะ” ไม่รู้หรือไรว่าบุรุษสตรีไม่พึงใกล้ชิดกัน ยังจะวิ่งเข้ามาในห้องส่วนตัวของสตรีตามใจชอบอีก
“เจ้าไม่สบาย?”
“ท่านต่างหากที่ไม่สบาย” นี่เขาคิดจะแช่งนางใช่หรือไม่
จย่าเป่าอวี้พิศดูสีหน้าหลินไต้อวี้อย่างละเอียดพบว่าแม้สีหน้าของนางจะซีดไปบ้าง แต่ยังคงมีเลือดฝาดแดงเรื่อแลดูเย้ายวนใจอย่างสตรีที่เพิ่งตื่นนอน ไม่มีแววของความป่วยไข้เลยแม้แต่น้อย
เขาจึงเป็นฝ่ายงง “เพราะเหตุใด…”
“เอ๋?!” อย่าฉวยโอกาสตอนที่สมองนางยังไม่ตื่นดีมาพูดเรื่องอะไรที่ไม่มีหัวมีท้ายได้หรือไม่ นางขี้เกียจเดา
“แต่ไหนแต่ไรมามื้อใดที่เจ้ากินเยอะแล้วจะป่วยไม่ใช่หรือ”
หลินไต้อวี้หลับตาลงนึกดูแล้วพลันหัวเราะร่าอย่างจำได้ “ท่านเข้าใจผิดแล้ว นั่นเป็นเฉพาะตอนอยู่คฤหาสน์สกุลจย่าต่างหาก”
“เพราะเหตุใด”
“ท่านฉลาดถึงเพียงนี้ น่าจะคิดเองได้นะ” อย่าให้นางเฉลยเลย ข้อแรก เป็นเพราะนางไม่มีหลักฐาน และข้อสอง ถ้าบอกความจริงออกไปแล้ว เขาอาจรับไม่ได้
ระหว่างที่จย่าเป่าอวี้กำลังครุ่นคิด เขาก็เห็นหลินไต้อวี้ลุกขึ้นมาหวีผมจึงนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้ “ก่อนหน้านี้บ่าวสกุลหลินต้อนรับสหายขุนนางกับแขกที่มาร่วมงานบำเพ็ญกุศลของท่านอาเขยได้ไม่เลว”
“อืม อีกสามวันต้องเคลื่อนป้ายวิญญาณแล้ว สองสามวันนี้น่าจะมีคนมากันเยอะ” ข้าหลวงตรวจการการค้าเกลือไม่เก็บผลประโยชน์ใต้โต๊ะ ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของหลินไต้อวี้เป็นคนใจดี มีน้ำใจกว้างขวางทำให้มีคนมาร่วมงานบำเพ็ญกุศลไม่น้อย “คุณชายรองเป่า ข้าว่าท่านพักอยู่ที่นี่สักสองสามวันแล้วค่อยเดินทางกลับเถอะ”
“เหตุใดข้าต้องกลับ”
“แล้วท่านจะอยู่ทำอะไร” หลินไต้อวี้ย้อนถามอย่างหงุดหงิด
“การย้ายป้ายวิญญาณของบิดาเจ้าย่อมต้องมีคนถือธงนำวิญญาณ แม้ข้าจะเป็นบุตรชายแค่ครึ่งตัว แต่เรื่องนี้สมควรให้ข้าเป็นผู้กระทำ”
จย่าเป่าอวี้พูดด้วยสีหน้าจริงจังทำให้หลินไต้อวี้รู้สึกตาลายไปวูบหนึ่ง “นั่นเป็นแค่แผนขัดตาทัพเท่านั้น ข้ายังไม่ได้รับปากจะแต่งงานกับท่าน” ขอร้องล่ะ วันดีๆ ของนางเพิ่งจะเริ่ม สมองนางยังไม่พังถึงขั้นจะอยากกลับไปที่คฤหาสน์สกุลจย่าอีก “ยิ่งไปกว่านั้นท่านพ่อข้าเสียไปแล้ว เรื่องแต่งงานไม่มีผู้ใหญ่ช่วยจัดการ ครั้งนี้จึงไม่นับ”
“ผิดแล้ว ถึงพ่อภรรยาจะเสียไป แต่ท่านย่ายังเป็นผู้ใหญ่ให้อยู่ เจ้านึกว่าท่านย่าอนุญาตเรื่องงานแต่งแค่ส่งๆ ไปอย่างนั้นหรือ” รอยยิ้มของจย่าเป่าอวี้ฉายแววชั่วร้าย
“ข้าไม่แต่ง! ข้าจะแต่งกับพี่จี้!” แม้หลินไต้อวี้จะรู้สึกผิดเรื่องแย่งคนกับฉินเข่อชิง แต่นี่เป็นแค่แผนขัดตาทัพ ต่อให้สุดท้ายต่อให้พี่จี้กับนางต้องหย่าขาดจากกันก็ไม่เป็นไร ขอแค่นางไม่ต้องกลับไปที่คฤหาสน์สกุลจย่าอีกก็พอ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
“เหลวไหล เขาเป็นแค่บ่าว ไหนเลยจะคู่ควรกับเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเขายังลงครัว…”
“พูดเช่นนี้แสดงว่าท่านไม่รู้จักโลก ไม่รู้จักอะไรบ้างเลย” หลินไต้อวี้กล่าวตัดบทจย่าเป่าอวี้ด้วยรอยยิ้มเย็น
“เจ้าจะพูดอะไร”
“ขยันเรียนหนังสือให้มากกว่านี้ก่อนเถอะ อย่างน้อยท่านจะได้รู้ว่าเซ่าคังกษัตริย์แห่งราชวงศ์ซย่าเคยเป็นพ่อครัว อีอิ่นอัครเสนาบดีแห่งราชวงศ์ซางได้ดีเพราะทำน้ำแกงห่านป่าและปลาราดน้ำปรุงรส จนได้รับการยกย่องเป็นปราชญ์แห่งการทำอาหาร ยังมีหยวนซวินเจียงในยุคบุกเบิกราชวงศ์โจวที่ก่อนเข้ารับราชการ เคยตกปลา ล้มวัว ขายข้าว ทำให้มีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ…ผู้ใดบอกท่านว่าคนลงครัวมีแต่บ่าว หากไม่มีพ่อครัว ท่านก็ไปกินหญ้ากินดินเถอะ!”
คนที่ดูหมิ่นพ่อครัวย่อมเป็นศัตรูนาง! เพราะสำหรับหลินไต้อวี้ คนที่เก่งที่สุดในโลกคือพ่อครัว ลำดับถัดมาคือครอบครัวชาวนาและอาชีพฆ่าสัตว์ ส่วนคนที่ต่ำต้อยด้อยค่าที่สุดคือลูกเศรษฐีไร้ค่าที่ทำอะไรไม่เป็นเช่นจย่าเป่าอวี้!
“เจ้า!” จย่าเป่าอวี้ถลึงตาใส่นางจนนัยน์ตาแทบฉีกขาด
“ข้าไม่ได้พูดผิดนะ ผู้ใดใช้ให้ท่านไม่รู้จักเรียนหนังสือจนไม่รู้แม้แต่เรื่องทั่วไปเช่นนี้”
“ผู้ใดบอกว่าข้าไม่รู้” จย่าเป่าอวี้หน้าแดง
“ฮ่าๆ รู้ก็บอกว่ารู้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ หรือถ้ารู้แต่รับไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะมีความกล้ามากกว่านี้ เสียดายที่ท่านไม่มีเลยสักอย่าง”
“คัมภีร์หลุนอวี่คือตำราสอบรับราชการ เจ้าอย่ามาทำเป็นอวดเก่งต่อหน้าข้าหน่อยเลย”
“อ้อ ท่าทางจะรู้จริง แล้วอย่างไร ท่านลองถามตัวเองดูเถอะว่าท่านเคยทำอะไรที่ควรค่าให้ผู้อื่นยกย่องบ้างหรือไม่ และเมื่อใดท่านจะอาศัยกำลังของตัวเองทำมาหาเลี้ยงตนเองได้ ลูกเศรษฐีที่ทำอะไรไม่เป็นมีสิทธิ์อะไรไปหัวเราะเยาะผู้อื่น” หลินไต้อวี้ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
จย่าเป่าอวี้ฉุดมือนาง “แม้ข้าไม่เคยทำอะไรที่ควรค่าให้ผู้อื่นยกย่อง แต่อย่างน้อยข้าก็ไม่อาจทนดูคนคุ้นเคยกันตายไปต่อหน้าต่อตา และอย่างน้อยข้าก็อยากปกป้องเจ้า!”
“แค่ท่านอยู่ให้ห่างจากข้าก็เท่ากับเป็นการปกป้องข้าอย่างดีที่สุดแล้ว”
“วันนี้มีคนมาปักธูปไหว้กันเยอะ แต่เมื่อตอนฟ้าสางข้าแอบไปเปิดดูโถเถ้ากระดูก พบว่าเถ้ากระดูกมีสีดำ”
“ท่านว่างมากเลยไปเปิดโถเถ้ากระดูกของพ่อข้า…เดี๋ยวนะ ท่านว่าอะไรนะ” ตอนแรกหลินไต้อวี้จะด่าเขาว่าเสียมารยาท แต่พอได้ยินประโยคสุดท้าย นางกลับนิ่งงันไปและต้องเอ่ยถาม “สีดำ?”
“ถึงไม่พูด เจ้าก็น่าจะรู้ว่ามันหมายความว่าอะไร พิธีศพจัดแบบแปลกๆ ทั้งที่รู้ว่าเจ้าอยู่ในระหว่างเดินทางกลับมาแต่กลับชิงเผาศพก่อน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น” จย่าเป่าอวี้เห็นนางตะลึง ทำให้ความโกรธของเขาลดลงกว่าครึ่ง “ฉากร้องไห้ของเจ้าใช้ได้ผลกับคนคิดดี แต่กับคนคิดชั่ว ต่อให้ร้องไห้จนตาบอดก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าต้องคอยระวังและจับตามองทุกอย่าง กับครอบครัวสกุลจี้ก็ให้ระวังเอาไว้ด้วย”
“เป็นไปไม่ได้ ท่านอาจี้ไม่ใช่คนเช่นนั้น” หลินไต้อวี้กล่าวอย่างเด็ดขาดชัดเจน แต่ไม่ใช่เพราะความทรงจำในสมองอย่างเดียว หากนางมั่นใจในสายตาของตนเองอย่างมาก
“เช่นนั้นเจ้าบอกข้าหน่อยสิว่าถ้าจี้ไหวเป็นคนรอบคอบจริง ผู้ใดจะวางยาพิษบิดาเจ้าใต้หนังตาเขาได้” เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ว่าจะมองในด้านใดก็ล้วนไม่สมเหตุสมผล ทำให้จย่าเป่าอวี้ต้องมองครอบครัวสกุลจี้เป็นผู้ต้องสงสัยเอาไว้ก่อน
“เรื่องนี้จะต้องมีบางอย่างที่ข้ายังไม่รู้ แต่ข้าจะสะสางเอง” หลินไต้อวี้ลดเสียงลง นึกชมในความละเอียดรอบคอบและการไปเปิดโถเถ้ากระดูกอย่างใจกล้าของจย่าเป่าอวี้
“เจ้าจะทำอะไรได้ เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไร หากคนในบ้านลุกฮือกันขึ้นมา พวกเขายังจะเห็นเจ้าเป็นคุณหนูอีกหรือ”
“มีพี่จี้อยู่ด้วย เขาต้องช่วยข้าแน่” หลินไต้อวี้มั่นใจอย่างยิ่ง และเชื่อมั่นในสัญชาตญาณที่ไม่เคยผิดพลาดของตน
จย่าเป่าอวี้คำรามเสียงต่ำอย่างหงุดหงิด “พี่จี้ๆ เจ้านึกว่าเขาเป็นเพชรจริงหรือ ผู้ใดจะรู้ว่าพวกเขาเป็นมุสิกอสรพิษในรังเดียวกันหรือไม่ เจ้ายังจะทำตัวหน้าโง่ลดตัวลงไปอยากแต่งงานกับเขาอีก!”