“ดังนั้นข้าจึงต้องแต่งงาน”
“หา?”
“หลังแต่งงานที่ดินที่เคยให้บ้านใหญ่ช่วยดูจะต้องคืนกลับมาให้บ้านรอง รายได้เก็บเข้ากองกลางและรับเบี้ยเลี้ยงรายเดือนจากกองกลาง ไม่จำเป็นต้องดูสีหน้าบ้านใหญ่อีกต่อไป” จย่าเป่าอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น อึดใจต่อมาเขาก็พลันปรายตามามองนาง “คราวนี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องดูสีหน้าพี่สะใภ้รองเฟิ่งอีก แต่ทำทุกอย่างได้ตามใจเลย”
หลินไต้อวี้มองหน้าเขาอย่างอึ้งๆ อยู่พักใหญ่อย่างพูดอะไรไม่ออก
เหตุผลนี้สามารถอธิบายได้แล้วว่าเพราะอะไรเขาถึงต้องตามตื๊อนาง! พูดกันจริงๆ แล้วมันใช่ความรักเสียที่ใด นางไม่เห็นจะรู้สึกเลยสักนิด ที่แท้ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่เขาอยากได้อำนาจมาไว้ในมือต่างหาก
“คุณชายรองเป่า ใช่ว่าข้าอยากจะสาดน้ำเย็นใส่ท่าน แต่ท่านคงดีดลูกคิดเอาไว้เลิศเกินไป เพราะโลกมันไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านวาดฝันเอาไว้หรอก” หลินไต้อวี้พูดเสียงหยัน “ท่านลองคิดถึงอายุของตนเองก่อน แค่พี่สะใภ้รองบอกว่า ‘เจ้าอายุยังน้อย’ นางก็ดูแลเรื่องการเงินของบ้านรองต่อไปได้แล้ว”
ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เด็กอายุแค่นี้กลับคิดเรื่องเช่นนี้ ซ้ำยังตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากเรื่องเสี่ยงตายของฉินเข่อชิงอย่างไม่ยอมให้มีอะไรเสียเปล่าด้วย
การที่จย่าเป่าอวี้อ่านสถานการณ์ได้ขาดเป็นเรื่องที่ดี แต่หลินไต้อวี้กลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เพราะคงไม่มีใครชอบเป็นหมากให้ใคร
“ถ้าอยากจะได้อำนาจทั้งหมดกลับมาในทันทีคงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าอาศัยท่านย่าและชื่อเสียงบารมีจากบัณฑิตในสำนักศึกษาย่อมสามารถค่อยๆ ดึงอำนาจกลับมาได้” สีหน้าของจย่าเป่าอวี้เคร่งเครียดขึ้น “อย่างน้อยในช่วงที่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะต้องรีบเอาส่วนของข้ามาไว้ในมือให้ได้”
“อย่าบอกนะว่าแม้แต่ท่านยาย ท่านก็จะใช้ประโยชน์จากนางด้วย” นี่น่ากลัวเกินไปแล้ว เขากลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ
“พอกันนั่นล่ะ” จย่าเป่าอวี้เอามือเท้าคางและมองออกไปไกลสุดสายตา “เรื่องของเข่อชิงทำให้ข้าตระหนักถึงความโหดเหี้ยมของพี่สะใภ้รองเฟิ่ง ข้าไม่เคยสังเกตเห็นถึงความใจร้ายใจดำของนางมาก่อน ขืนปล่อยให้นางเป็นใหญ่ คนบ้านรองก็อย่าได้คิดจะอยู่ดีมีสุขกันเลย”
ไหนๆ ก็ต้องแต่งงาน เขาย่อมอยากแต่งกับคนที่คุ้นเคยกันมากกว่าให้มารดาสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องแต่งงานของเขา จย่าเป่าอวี้จะไม่ยอมให้มารดายัดเยียดญาติของตนเองเข้ามาในจวนอีกแล้ว
หลินไต้อวี้บังเอิญเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด โดยเฉพาะภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูเป็นคนขี้กลัวแต่ความจริงแอบซ่อนเปลวไฟรุนแรงเอาไว้ หลังแต่งงานการกำราบนางคงเป็นเรื่องสร้างความบันเทิงอย่างหนึ่ง
“หึ คนเก่งจริงต้องหาเงินด้วยตัวเองสิ อาศัยสมบัติของบรรพบุรุษมันจะแน่ตรงที่ใด ต่อให้บ้านรองแย่งอำนาจกลับมาได้แล้วจะอย่างไร” ถ้าอาศัยตนเองสร้างอาชีพสักอย่างขึ้นมาแล้วยังต้องไปแย่งชิงกันอีกหรือ
“แต่เดิมสมบัติของบรรพบุรุษก็…” จย่าเป่าอวี้ชะงัก นัยน์ตาดอกท้อหรี่ลงเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกคนข้างตัวห้ามไว้ ทำให้ต้องหันไปมองอย่างงงๆ
“ปล่อยพวกเขาขโมยไปเถอะ ถ้าคนเราหาเลี้ยงตัวเองได้มีหรือต้องขโมย และที่ขโมยไปก็แค่ของกินเล็กๆ น้อยๆ ถือเสียว่าทำทานให้เขาแล้วกัน” หลินไต้อวี้เห็นเด็กมาขโมยข้าวเปลือกนานแล้ว เพียงกำลังมองอยู่เงียบๆ ว่าเขาจะเอาไปมากน้อยเพียงใด
“ในความคิดของภรรยา อะไรที่เรียกว่าถ้าคนเราหาเลี้ยงตัวเองได้มีหรือต้องขโมย เห็นอยู่ว่าเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ยอมทำงานทำการ” จย่าเป่าอวี้แค่นเสียงอย่างรับไม่ได้
หลินไต้อวี้มองเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง “ข้าไม่รู้ว่าท่านเป็นพวกขี้เกียจ ไม่ยอมทำการทำงานหรือไม่ แต่ท่านบอกได้หรือไม่ว่าสกุลจย่าของท่านทำอะไรบ้าง”
“เจ้า!”
“ช่วยไม่ได้ ท่านเกิดมาในครอบครัวเศรษฐี ไหนเลยจะเคยลิ้มรสความอดอยากหิวโหย และยิ่งไม่มีทางเข้าใจว่ายังมีคนที่กินไม่อิ่ม สวมไม่อุ่นทำให้ต้องยอมเสี่ยง”
“เจ้าพูดเช่นนี้แสดงว่าแค่เกิดเป็นคนจนก็มีสิทธิ์ทำเรื่องชั่วร้ายโดยไร้ความผิด?” จย่าเป่าอวี้ขัดใจที่หลินไต้อวี้ชอบใช้คำพูดเหน็บแนมมาสั่งสอนเขา แต่เขากลับเถียงนางไม่ได้เลย