เมื่อเทศกาลต้อนรับปีใหม่มาเยือน หลินไต้อวี้รู้สึกมีความสุขกับช่วงเวลานี้มาก
เพราะจย่าเป่าอวี้ไม่อยู่ และตัวนางที่กำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นสามารถกินดื่มได้อย่างเต็มที่ ที่น่าเสียใจคือฮูหยินผู้เฒ่าจย่าเห็นเรือนร่างของหลินไต้อวี้บอบบางประดุจต้นหลิวจึงให้นางบำรุงร่างกายมากๆ กินแต่อาหารเบาๆ ปริมาณน้อย ทำให้ใบหน้าน้อยๆ ของนางยับยุ่งเหมือนซาลาเปาจิ๋ว
แต่ไม่เป็นไร เพราะจย่าหยวนชุนกำลังจะมาเยี่ยมญาติ หลินไต้อวี้จึงเฝ้าคอยซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลที่นางอดกินตอนไปในตอนแรกอยู่
จะว่าไป จย่าหยวนชุนก็เข้าวังไปนานหลายปีแล้ว เริ่มแรกนางเป็นนางข้าหลวงจนปีที่แล้วถึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเสียนเต๋อเฟย* ถือเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง คล้ายทำให้ป้ายชุบทองของสกุลจย่าได้เลี่ยมหยกเพิ่มเข้าไปอีก อำนาจบารมีแผ่ไพศาล เพื่อให้จย่าหยวนชุนมีที่พักเป็นหลักเป็นแหล่ง คนทั้งสกุลจย่าจึงต้องทำงานกันมือเป็นระวิง
ทันทีที่จย่าหยวนชุนกลับจวนมา ภายในจวนก็เต็มไปด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ ปิ่นทองคำเต็มศีรษะของจย่าหยวนชุนมองเห็นได้แต่ไกล เสื้อบุซับในสีเขียวมะกอกกับกระโปรงยาวจีบรอบปักลายดอกโบตั๋นขลิบทอง ผู้คนมากมายพากันเข้าไปห้อมล้อมทักทาย แต่หลินไต้อวี้กลับไม่รู้สึกกระตือรือร้น เพราะสิ่งเดียวที่ทำให้นางรู้สึกอิจฉาได้คือการที่จย่าหยวนชุนสามารถกินซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลได้ตลอดเวลา
ถ้ารู้อย่างนี้ตอนแรกนางน่าจะเลือกเล่นบทจย่าหยวนชุน…แต่ถึงพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะไม่ว่านางจะเลือกบทใดก็ถูกคนลอบเล่นงานอยู่ดี จนถึงตอนนี้ยังต้องทนลำบาก ทำให้หลินไต้อวี้รู้สึกเสียใจไม่หาย
แน่นอนว่าขนมหวานที่นำออกมาจากวังหลวงไม่มีทางถูกส่งมาที่เรือนของหลินไต้อวี้โดยตรง สิ่งที่นางเฝ้าคอยจึงเป็นเจ้าเด็กจอมลามก หวังว่าเขาจะเอาซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลมาง้อนาง
แน่นอนล่ะ ขอเพียงมีของอร่อยนางย่อมยอมยกโทษให้แก่ความผิดของเขาทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้ในวันที่จย่าหยวนชุนเดินทางมาเยี่ยมญาติ หลินไต้อวี้จึงคอยอยู่ในห้องอย่างสงบเสงี่ยมตลอด
“คุณหนูเจ้าคะ”
“คุณชายรองเป่ามาหรือ” หลินไต้อวี้หันไปอย่างดีใจจนออกนอกหน้า
“มิใช่เจ้าค่ะ เป็นแม่นางเซวียมา” เสวี่ยเยี่ยนส่งสายตาให้นาง
หลินไต้อวี้รีบปั้นหน้ายิ้มประจบเพื่อต้อนรับเซวียเป่าไชที่ไม่ค่อยได้มาคุยกับนางเท่าไรนัก
หลังนั่งลงเรียบร้อย หลินไต้อวี้ก็ได้กลิ่นคุ้นจมูก นางจึงเหลือบไปมองกล่องอาหารที่เซวียเป่าไชถือมาอย่างอดไม่อยู่
“น้องหลิน เมื่อครู่ข้าไปหานายหญิงผู้เฒ่าแล้วบังเอิญเจอหยวนเฟย นางเลยมอบซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลให้ข้า”
น่าชังนัก เป็นจริงด้วย! หลินไต้อวี้พยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก แม้จะไม่ได้กิน แค่ได้กลิ่นหอมๆ นี้ก็ยังดี
“นี่คงเป็นของจากวังหลวงสินะ” น่าหมั่นไส้ พอได้กลิ่นหอมหนอนตะกละของนางก็ร้องกันระงม หากไม่ระวังนางอาจฟาดเซวียเป่าไชให้หมดสติแล้วแย่งซูเล่าเคี่ยวน้ำตาลของอีกฝ่ายมาเลยก็ได้
“ใช่แล้ว น้องหลินรู้เรื่องไม่น้อยจริงๆ แต่ข้าเคยกินขนมเช่นนี้มาเยอะเลยไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับมันนักหรอก” ทุกอากัปกิริยาของเซวียเป่าไชล้วนมีระเบียบแบบแผนสมเป็นกุลสตรีจากตระกูลใหญ่ ยามยิ้มไม่เห็นฟัน ยามนั่งไม่มีเอนเอียง เคร่งครัดจนเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิตมากกว่าจะเป็นมนุษย์ตัวเป็นๆ
แม้จะรู้สึกได้ว่าคำพูดของนางมีนัยแฝงอยู่ แต่หลินไต้อวี้ยังคงคอยฟังวาจาต่อไปของนางอย่างใจจดใจจ่อ
“ถึงข้าจะอยากมอบมันให้น้องสาว แต่นี่เป็นของประทานจากหยวนเฟย ย่อมไม่อาจมอบต่อให้ใคร”
“…พี่เซวียกล่าวได้ถูกต้องแล้ว”
ไม่ให้? เช่นนั้นก็ควรส่งแขกได้แล้ว
“ครอบครัวของข้าเป็นวาณิชหลวง แม้ศักดิ์ศรีจะเทียบกับน้องสาวไม่ได้ แต่ครอบครัวของข้าก็ไปมาหาสู่กับครอบครัวขุนนางเป็นประจำ ในสายตาข้าของประทานที่ดูล้ำค่าพวกนี้ไม่มีความหมาย แต่กับน้องสาวคงไม่เหมือนกัน ใช่หรือไม่”
ขนตายาวของหลินไต้อวี้หลุบต่ำ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ใช่เจ้าค่ะพี่เซวีย ข้าเป็นพวกเห็นแก่กิน ไม่ว่าจะเป็นของจากวังหลวงหรือขนมของพวกชาวบ้าน ในสายตาข้าล้วนเป็นของที่ต้องลองลิ้มชิมรสให้จงได้”
“เสียดายที่น้องสาวเป็นกำพร้า ไร้คนหนุนหลัง เกรงว่าต่อให้อยากลองของประทานจากวังหลวงก็คงยาก” เซวียเป่าไชยังคงยิ้มเสแสร้งเหมือนคนใจกว้าง
“พี่เซวียพูดผิดแล้ว แม้ข้าจะเป็นลูกกำพร้า ไร้คนหนุนหลัง แต่ต่อไปข้าย่อมมีสามีเป็นที่พึ่ง เขาย่อมไขว่คว้าบรรดาศักดิ์มาให้ข้า ถึงตอนนั้นหากข้าอยากลองของประทานจากวังหลวงจะมีอะไรยากอีกหรือ” หลินไต้อวี้ยิ้มสดใส รอยยิ้มของนางคล้ายจะขจัดปัดเป่าลมหนาวและละอองฝนให้มลายหายไป ละม้ายดวงจันทร์ที่อวดโฉมออกมาหลังม่านเมฆ “พี่เซวีย ท่านอย่าได้หัวเราะเยาะเป่าอวี้เชียวนะ เขามุ่งมั่นตั้งใจเรียนหนังสือจริงๆ หากปีนี้สอบผ่านเคอซื่อแล้ว ปีหน้าสอบเซียงซื่อได้อีก ย่อมได้ตำแหน่งจวี่เหริน และตำแหน่งก้งซื่อในปีถัดไป พอเข้าสอบเตี้ยนซื่อ ฝ่าบาทย่อมพระราชทานตำแหน่งขุนนาง…อนาคตสดใสไร้ที่สิ้นสุด”
หลินไต้อวี้พิศดูสีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวขาวของเซวียเป่าไชอย่างอารมณ์ดี