ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน นิทานรักนักษัตรปีมะเส็ง บทที่ 8
“จากนี้ไป ข้าคงไม่ได้มาหาสักระยะ ขอมอบป้ายหยกนี้ไว้ให้เจ้าเป็นของดูต่างหน้ายามคิดถึงนะ”
“ผู้ใดจะคิดถึงท่านกัน” นางคิดแต่อยากจะให้เขาเอาของอร่อยมาให้มากกว่า “ท่านไปได้แล้ว”
หลินไต้อวี้หนาวมาก อยากสวมเสื้อผ้าให้เสร็จเร็วๆ ไม่อยากโดนลมเย็นจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ น้ำตารินเพราะคิดถึงของอร่อยหรอกนะ
“เสื้อเจ้าร่วงแล้ว” เขาเตือนอย่างมีน้ำใจ
“หา?” นางหลุบตาลงแล้วรีบตะครุบเสื้อผ้าในอ้อมแขนเอาไว้ตามสัญชาตญาณ แต่เพราะป้ายหยกกำลังจะร่วงลงพื้นทำให้นางยกมือขึ้นทาบอกแบนราบของตน…“ว้าย!” หลินไต้อวี้รีบนั่งยองๆ ด้วยความรู้สึกขัดเขิน ข้างหูได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นอย่างลำพองใจของจย่าเป่าอวี้ทำให้นางรู้สึกฉุนขาด
สารเลว นางขอสาบานต่อฟ้าว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปนางจะเลิกเป็นคนดีแล้ว ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคนผู้นี้ นางจะไม่สนใจเขาอีก ปล่อยให้เขาเปียกฝนตายไปเลย!
หลินไต้อวี้โมโหจนคันฟัน แต่ในขณะเดียวกันนางกลับรู้สึกว่าการที่เขากลับมาชีวิตชีวาได้อีกครั้งก็ไม่เลว เพียงแต่…น่าชังนัก เขายังไม่เล่าให้นางฟังเลยว่าตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!
เป็นอย่างที่จย่าเป่าอวี้บอกไว้คือนับจากวันนั้นเป็นต้นมาเขาต้องเตรียมตัวสอบเคอซื่อทำให้ทั้งสองไม่มีโอกาสได้เจอกันเลย
แม้แต่วันเกิดของนางที่หลายคนพร้อมใจกันมาเยี่ยมเยียนที่เรือนพัก ถึงหลินไต้อวี้จะได้เห็นหน้าจย่าเป่าอวี้ แต่ทั้งสองคนกลับไม่มีจังหวะได้พูดคุยกัน
เรือนอี๋หงของเขากับเรือนเซียวเซียงซึ่งเป็นที่อยู่ใหม่ของนางหันหน้าเข้ากัน แต่จย่าเป่าอวี้กลับไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในเรือนเซียวเซียง และหลินไต้อวี้ก็ไม่เคยเข้าไปเรือนอี๋หง ทว่านางกลับมีความสุขขึ้นมากเพราะไม่ต้องคอยระวังตัวเหมือนตอนอยู่ที่เรือนข้างของฮูหยินผู้เฒ่าจย่า สามารถไปปะเหลาะขอของกินจากเรือนของจย่าอิ๋งชุนได้อย่างอิสระ
สำหรับนางแค่มีจย่าอิ๋งชุนกับพี่จี้ที่เป็นสุดยอดพ่อครัวแม่ครัวคู่นี้ หลินไต้อวี้ก็พอใจมากแล้ว
“เสวี่ยเยี่ยน เจ้าว่าอิ๋งชุนกับพี่จี้เหมาะสมกันหรือไม่”
หลินไต้อวี้นั่งอยู่ในศาลานอกครัวเล็กและมองผ่านหน้าต่างห้องครัวเข้าไปเห็นทั้งสองคนกำลังทำงานพลางพูดคุยหัวเราะกันให้บรรยากาศอย่างบุรุษมีใจ สตรีเสน่หา เมื่อมองพิศดูให้ดีจะเห็นว่าพวกเขาเป็นคู่ชายเก่งหญิงงาม เหมาะสมกันเป็นที่สุด
“คุณหนู อย่ากินขนมถั่วแดงกวนใส่เหอเถาอีกเลยเจ้าค่ะ อีกเดี๋ยวต้องกินอาหารแล้ว” เสวี่ยเยี่ยนยกชุดน้ำชามาวางบนโต๊ะแล้วชงชาอย่างคล่องแคล่ว “อีกอย่าง ท่านอย่าผูกด้ายแดงส่งเดชสิเจ้าคะ คุณหนูรองเป็นธิดาสกุลจย่าที่พี่ชายข้าไม่มีทางเอื้อมถึง ท่านก็อย่าเอะอะไปจนทำให้สุดท้ายพวกเขาต้องเสียใจเลยนะเจ้าคะ”
หลินไต้อวี้มองค้อนอย่างอารมณ์ไม่ดี “เจ้าพูดเหมือนข้าจะทำร้ายพวกเขาถึงตาย” คำพูดคำจาฟังดูร้ายแรงเกินไปหน่อยแล้ว
ฉิงเหวินที่เดินออกจากครัวเล็กมาอย่างได้จังหวะเหมาะเม้มปากหัวเราะเบาๆ “แม่นางหลินพูดจาน่าสนใจดีจริง”
“เจ้าอย่าเลียนแบบนางเชียวนะ นางยิ่งเป็นคนไม่อยู่ในระเบียบด้วย” เสวี่ยเยี่ยนรีบรับข้าวปั้นในมือฉิงเหวินมา หัวคิ้วใบหลิวขมวดแน่นอย่างอดไม่อยู่ “เลิกหาของกินมาให้คุณหนูได้แล้ว เกิดคุณหนูปวดท้องขึ้นมา คนที่ต้องโชคร้ายก็คือพวกเรานะ”
“นี่…” นับวันยิ่งไม่รู้จักนายบ่าวกันเสียแล้ว จริงๆ เลย ถึงจะบอกว่าเจ้านายอย่างนางจะมีนิสัยสบายๆ แต่ระยะหลังมานี้หลินไต้อวี้กลับมีความรู้สึกว่านางกับเสวี่ยเยี่ยนเหมือนจะสลับบทบาทนายบ่าวกันแล้ว “ถ้าเจ้าไม่ให้ข้ากินเยอะหน่อย แล้วข้าจะสูงขึ้น มีเนื้อมีหนังมากขึ้นได้อย่างไร”
นางไม่ชอบร่างกายของตนเองมากๆ สมัยอยู่แดนเซียนนางมีรูปโฉมงดงามพริ้งเพรา ทรวงอกอวบอิ่มเย้ายวน ขับเน้นให้เห็นทรวดทรง ไม่รู้ว่ามีเซียนในแดนเซียนจำนวนเท่าไรต้องเอาของกินมาประจบเอาใจนางเพื่อให้นางหันไปส่งยิ้มให้สักครั้ง แต่นางเป็นใคร คิดว่าแค่ของกินนิดหน่อยก็ทำให้นางยิ้มได้หรือ นางมิใช่พวกขายรอยยิ้มเสียหน่อย
แม้หลินไต้อวี้จะไม่ได้คิดถึงวันวานอันหวานชื่นอีก แต่นางไม่อาจปล่อยให้ตนเองมีรูปร่างผอมแบนเช่นนี้ต่อไปได้ ดังนั้นนางจึงต้องขยันกินให้มากๆ เพื่อเพิ่มเนื้อหนังให้ตนเอง
“เพราะรู้ว่ากำหนดงานแต่งใกล้เข้ามาแล้วเลยอยากเพิ่มเนื้อหนังเพื่อจะได้สวมชุดแต่งงานได้งามหรือเจ้าคะ” เสวี่ยเยี่ยนมองด้วยสายตาเยือกเย็น
“จริงด้วย ข้าลืมว่าผู้ดูแลตู้ให้ข้าไปรับชุดแต่งงานของแม่นางหลิน” ฉิงเหวินพูดพลางคารวะหลินไต้อวี้แล้วรีบจากไป
“แต่งงาน?!” จริงด้วย เดือนสี่ก็ต้องแต่งงานแล้ว เมื่อหลายวันก่อนหลี่หมัวมัวมาวัดตัวเพื่อตัดชุดแต่งงานให้ แต่หลินไต้อวี้ห่วงเรื่องกินจนลืม ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างคนที่กำลังจะเป็นเจ้าสาวเลยสักนิด
แต่เรื่องสำคัญที่สุดคือไม่มีใครออกหน้ามาพูดถึงเรื่องนี้เลย ทำให้นางรู้สึกไม่คุ้น คงไม่ใช่ว่าพวกนั้นยอมให้จย่าเป่าอวี้กับนางแต่งงานกันแล้วหรอกนะ
หลินไต้อวี้รู้สึกเสมอว่าป้าสะใภ้รองกับหวังซีเฟิ่งไม่น่าจะยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ เช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซวียเป่าไชที่แสดงออกชัดว่าต้องการแย่งคนกับนางก็ไม่น่าจะยอมวางมือง่ายๆ เหมือนกัน
“แม่นางหลิน เสี่ยวหงมีข่าวดีมาบอกเจ้าค่ะ!”
ขณะขบคิดเสียงตะโกนของเสี่ยวหงก็ดังมาให้ได้ยินแต่ไกล เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่านางดึงตัวบุรุษคนหนึ่งมาที่ข้างประตูชั้นใน
ข่าวดี? ต่อให้เป็นข่าวดีจริงก็ไม่น่าจะเป็นของนางนะ หลินไต้อวี้เลิกคิ้วขึ้นอย่างเกียจคร้าน เมื่อหลายวันก่อนนางได้ยินว่าคุณชายรองเป่าปลดสาวใช้ประจำตัวทั้งหมดออกไปและตั้งใจยกฉิงเหวินกับเสี่ยวหงให้นาง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดหวังซีเฟิ่งเกิดถูกตาต้องใจเสี่ยวหงจึงมาขอตัวเสี่ยวหงไปจากเขา
ที่ประหลาดคือ…จย่าเป่าอวี้รับปากหวังซีเฟิ่งไปจริงๆ