LOVE
ทดลองอ่าน นิรันดร์บรรจบ บทที่ 4
ตลอดทางเดินจากเรือนใหญ่สู่ไร่ชาถือเป็นช่วงเวลาแห่งความเงียบใบ้โดยแท้ ความมืดยังสยายปีกแผ่คลุมรอบกายพร้อมไอหมอกชื้นชุ่มกับกลิ่นดอกราตรีฉ่ำน้ำค้างริมทาง ถึงอย่างนั้นร่างสูงกลับไม่แสดงอาการเหน็บหนาวใดๆ ออกมา บางครั้งก็ยังคล้ายจะชะลอการก้าวเดินเมื่อเห็นว่าทิ้งห่างหญิงสาวเกินไปอีกด้วย จนเมื่อทั้งสองมาถึงไร่ชาเขียวชอุ่มเป็นทิวแถวลดหลั่นสุดสายตา ภีมก็กวาดตามองรอบกายพลางพึมพำ
“ไม่เห็นมีคนเลย”
“…หรือจะยังไม่ถึงฤดูเก็บชา” ลลิตาโคลงหัวก่อนจะลอบสะดุ้งในใจ รีบเงยหน้าขึ้นไปยิ้มแหยให้ชายหนุ่มทันที “คุณภีมคะ…ขอโทษจริงๆ ฉันคงทำคุณเสียเวลาซะแล้วล่ะค่ะ”
เจ้าของดวงตาคมทอดมองเบื้องหน้าขณะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“ถือว่ามาเดินเล่นรับอากาศบริสุทธิ์แล้วกัน”
เงาหมอกอ้อยอิ่งกำลังอ่อนจางลงทุกขณะ ไกลออกไปอีกฟากฝั่งหนึ่งของท้องฟ้าค่อยๆ ปรากฏแสงเรื่อเรืองทอทับเวิ้งดารารัตติกาลจนเป็นสีอันผสมผสานระหว่างกลางวันกับกลางคืน และโดยไม่รู้ตัวดวงตาคู่โตกลับฉายแววโศกรื้นจาง พร้อมระบายลมหายใจออกมาแผ่วเบาจนชายหนุ่มอดถามด้วยความสงสัยไม่ได้
“คุณไม่ชอบเหรอ”
“ฉันเคยฟังเพลงเก่าน่ะค่ะ มีท่อนหนึ่งที่ร้องเอาไว้ว่า think I’ll miss you forever, like the stars miss the sun in the morning sky… มาดหมายคำนึงถึงชั่วนิรันดร์ ดังดาราโหยหาตะวันยามรุ่งสาง…” ว่าพลางเงยหน้าขึ้นไปมองดวงอาทิตย์กับแสงวิบวับของดาวที่กำลังค่อยๆ เลือนจาง “ตั้งแต่นั้นมาพอเห็นท้องฟ้าช่วงเวลานี้ทีไรก็อดหวิวๆ ในใจไม่ได้ทุกที”
ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นเบนขึ้นไปมองเบื้องบนตามคำกล่าวของคนข้างกาย พอดีกับที่ดาวดวงสุดท้ายส่องแสงวับวาวราวบอกลาก่อนเหลือไว้แต่อรุณรุ่งเดียวดาย
“แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้ วันมะรืน…ทุกเช้าของทุกวันก็จะเจอกันอีก”
“เพียงเพื่อจะจากกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าน่ะหรือคะ”
“เพราะเรามองจากมุมมองของโลกต่างหาก โลกที่หมุนให้เกิดกลางวันกลางคืน ทั้งๆ ที่ความจริงดวงอาทิตย์กับดาวก็อยู่ที่เดิมของมันตรงนั้น ไม่มีการพรากจาก ไม่ได้เลือนหายไปไหน ทุกอย่างยังคงอยู่ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตอีกแสนนาน”
…มั่นคงตราบสิ้นดินฟ้า ท่ามกลางประจักษ์พยานเป็นกาลเวลา…
เพียงเท่านั้นลลิตาก็หัวเราะแผ่วเบาพลางพยักหน้ารับอย่างปลอดโปร่ง
“จริงด้วยค่ะ แค่เพราะเรามองไม่เห็น ไม่ได้หมายความว่ามันหายไป” ดวงตาคู่โตหันมาสบพร้อมแย้มเยื้อน “ฉันถูกคุณสอนวิทยาศาสตร์ให้ซะแล้ว”
หญิงสาวผินหน้าออกไปมองรอบกายด้วยความรู้สึกใหม่ โดยไม่รู้ตัวสักนิดว่าร่างสูงกำลังชะงักงันกับภาพตรงหน้า เมื่ออุษาแสงไล้อาบขับเน้นให้รอยยิ้มของลลิตาดูอ่อนโยนกว่าเดิม อากัปกิริยาไร้การปรุงแต่งที่เข้ากับกลิ่นผลิบานของยามเช้าอย่างน่าประหลาด และการจู่โจมของความรู้สึกอยากจะสะสมภาพรอยยิ้มทั้งหมดของเธอไว้ในทรงจำที่ค่อยๆ เร้นรางอย่างเงียบเชียบจนภีมต้องหันกลับ ด้วยเจ็บที่ไหนสักแห่งข้างในจู่โจมสาดซัดในเสี้ยววินาที เขารีบสาวเท้าผละห่างจากหล่อนทันที
“กลับกันเถอะ”
กว่าลลิตาจะละสายตาจากทิวทัศน์เบื้องหน้าร่างสูงก็ก้าวเดินไประยะหนึ่งแล้ว ครั้นก้มมองก็เห็นแต่รอยเท้าหลงเหลือไว้ หญิงสาวลอบระบายยิ้มอารมณ์ดีก่อนจะย่างเหยียบไปตามรอยนั้นทีละก้าว เพราะขาซึ่งยาวสมบูรณ์แบบของเขา บางจังหวะลลิตาก็ได้ให้กระโดดด้วยซ้ำ ริมฝีปากอิ่มแอบยกโดยไม่รู้ตัวทุกครั้งเมื่อเห็นว่าแม้เธอจะวางเท้าลงในรอยนั้นก็ยังเหลือพื้นที่อีกมากด้วยขนาดที่แตกต่าง
อารมณ์ซุกซนซึ่งนานๆ ครั้งถึงจะมีทำให้ลลิตาเอาแต่ก้มหน้าเล่นโดยไม่รู้เลยว่าคนตรงหน้าหยุดเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ และจังหวะสุดท้ายที่กระโดดนั้นเอง…
ปั้ก!
หัวของเธอชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างจนเซ ภีมรีบหันกลับมารั้งแขนของเธอไว้ทันทีแม้จะทั้งประหลาดใจและออกจะสงสัยอยู่บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น
“เจ็บมั้ย”
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทันสังเกตว่าคุณหยุดเดิน” ตอบทั้งๆ ที่ยังมึนงง “มีอะไรรึเปล่าคะ”
“…”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรนอกจากคิ้วเข้มซึ่งขมวดมุ่นพร้อมกับท่าทีต่อต้านอะไรสักอย่าง เบื้องหน้าเขาคือไส้เดือนตัวใหญ่ที่ยึกยือหลงทาง เงอะงะงุ่มง่ามอยู่กับการพยายามมุดกลับสู่อ้อมกอดเม็ดดิน
“ไส้เดือนนี่คะ ถ้าใครมาเหยียบเข้าคงแย่แน่”
ลลิตาเอ่ยทักด้วยความแปลกใจก่อนจะเดินไปหยิบลำตัวปล้องกลมที่ตกใจจนดิ้นพราดมาไว้ในมือ เงยหน้าขึ้นกลับเห็นว่ายามนี้ภีม ภานุวรรธน์ ณ อยุธยาผู้มักจะเฉยชากลับดูซีดเผือดพร้อมขมวดคิ้วจนแทบเป็นปมแน่น
อาจเพราะอารมณ์ที่เบิกบานมากกว่าปกติ ด้วยใบหน้าสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้อาการพิรุธของอีกฝ่าย ลลิตาก็ยื่นไส้เดือนเข้าไปใกล้เขาจนร่างสูงเผลอผงะไปอีกเล็กน้อย
“คุณภีมคะ ไส้เดือนแหละค่ะ”
ภีมฝืนพยักหน้ารับรู้อย่างยากเย็น เขาไม่ได้มองสิ่งที่อยู่ในมือของเธอด้วยซ้ำ
“…อือ รีบเอามันไปปล่อยสิ คงตกใจแย่แล้วนั่น”
…ดูท่าจะไม่ใช่แค่ไส้เดือนที่ตกใจแย่แล้ว หญิงสาวลอบรำพึงขณะเอาตัวยึกยือนั่นไปวางใกล้โคนพุ่มดอกราตรี และในแว่วสายลมยามเช้าก็คล้ายจะได้ยินเสียงระบายลมหายใจของใครบางคนอย่างโล่งอก…ลลิตาลอบอมยิ้มกับตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะรีบสาวเท้าตามร่างสูงกลับเรือนใหญ่ ท่ามกลางหมอกสลายและความรู้สึกคล้ายระยะห่างบางอย่างค่อยๆ ย่นย่อลงไป…
โปรดติดตามตอนต่อไป…