“วิปลาสขนาดนี้ น่าจะเอาไปอยู่โรงพยาบาลบ้าได้แล้วนะพี่”
“ข้าได้ยินมาว่าคุณชายเธอไปติดต่อหมอฝาหรั่งนู่นแน่ะ ไม่รู้จะเรียกมาดูที่นี่หรือส่งไปเมืองนอก”
“วุ้ย จะอะไรก็เถอะ รีบๆ หน่อยก็ดี คนในวังแทบจะเป็นบ้าตามกันไปหมดอยู่แล้ว” พลันถ้อยวาจาก็เปลี่ยนเป็นแผ่วหวิว “วันๆ เรียกหาแต่คุณนมเสากับท่านชายภาค หรือจะจริงที่ว่าคุณหญิงเธอเลี้ยงผีแล้วโดนของเข้า…”
“ชู่ว ระวังปากไว้ให้ดีเทียวนะเอ็ง ใครได้ยินเข้าจะเป็นเรื่อง”
เสียงกระซิบกระซาบเรียกให้เจ้าของร่างบอบบางราวกระเบื้องเคลือบรู้สึกตัวขึ้นช้าๆ ดวงตาลึกโปนจับจ้องฝ้าเพดานอย่างเลื่อนลอยครู่ขณะ พร้อมระบายยิ้มแห้งจาง หล่อนได้ยินในประโยคเลือนรางนั้นว่าใครสักคนเอ่ยถึงท่านชายภาค รักแรกของเธอ รักหนึ่งเดียวที่เฝ้าฝันมาตั้งแต่ครั้งเยาว์วัย …ท่านชายภาคของเกด
หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ค่อยๆ เคลื่อนขยับออกจากเตียงไปยังโต๊ะเครื่องแป้งท่ามกลางความประหลาดใจของบ่าวรับใช้ทั้งสองคน หยิบแปรงขึ้นมาสางผม ผัดหน้าอย่างแช่มช้อย
“คุณหญิงจะทำอะไรหรือคะ”
“แต่งตัว…ไปวังสวนกระจก”
หญิงสาวกระซิบตอบแผ่วเบา ไม่สนใจว่าแผลเหวอะหวะที่ปลายนิ้วเริ่มมีเลือดผุดซึมผ่านผ้าพันแผล บ่าวรับใช้เริ่มขยับตัวเข้าใกล้ด้วยความระแวดระวังพร้อมตะล่อมถามเสียงอ่อน
“ดึกแล้วนะคะ คุณหญิงจะไปทำไม”
“ไปเข้าเฝ้าท่านชายภาค…”
คนฟังลอบสบตากันเลิ่กลั่ก ค่อยๆ แตะเรียวแขนผอมแห้งราวกับกลัวว่าหล่อนจะแตกร้าว
“คุณหญิง คืนนี้นอนก่อน…”
“นมอยู่ไหน มาเลือกชุดให้เกดที นม…นมเสา”
หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ไม่ใส่ใจคำกล่าวนั้นราวเป็นเพียงลมพัดผ่าน หล่อนเดินเรียกแม่นมไปทั่วห้อง คุดคู้ก้มหาตามใต้เตียง ซอกม่าน ตู้เสื้อผ้า หับมุมสลัวแสง ทุกหนทุกแห่งเท่าที่จะนึกออกก่อนจะคั่งค้างอยู่กลางห้อง กอดตัวเองหนาวสั่นคล้ายประหวั่นหวาดพร้อมครวญครางในลำคอ
“ท่านชาย…อย่าเกลียดเกด อือ…นมช่วยด้วย ฝ่าบาท…ฝ่าบาท”
“คุณหญิง ไปนอนก่อนเถิดค่ะ…” บ่าวรับใช้คนหนึ่งรีบเข้ามาประคองหล่อนด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ขณะลอบสบตากับเพื่อนอย่างกล้ำกลืน “พักก่อนนะคะ ดึกมากแล้ว”
“ออกไป!! กล้าดียังไงมาแตะตัวฉัน! นม!! นมอยู่ไหน มาฆ่าอีพวกนี้ที อือ…มาพาเกดไปหาท่านภาคที!!”
ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี คุณหญิงเกดผลักอีกฝ่ายจนล้มคะมำ ผุดลุกขึ้นมาโวยวายอาละวาดทันที หล่อนขว้างปาข้าวของทุกอย่างที่มีใส่อีกฝ่ายอย่างดุร้าย และสุดท้ายก็เขวี้ยงขวดกะหลาป๋า ฟาดหน้าผากบ่าวรับใช้จนแตกพร้อมสติที่ขาดผึงของผู้ถูกกระทำ
“เออ!! อยากไปหานักก็ตายตามไปซะ! คิดว่าอยากดูแลคนบ้าแบบนี้รึไงวะ”
ดวงตาลึกโปนถลึงจ้อง สั่นสะท้านรุนแรงจนเรือนผมกระเพื่อมไหว “แกพูดอะไร…ใครตาย”
“หม่อมเจ้าดิเรกภาสกร ภานุวรรธน์ไง! ท่านสิ้นของท่านไปตั้งนานแล้ว มีแต่อีผีบ้าอย่างแกเท่านั้นแหละที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว ได้ยินแล้วก็จำเอาไว้ซะ ท่านชายของแกเค้าไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว! ท่านชายภาคตายไปแล้ว!!”
…ท่ามกลางใบหน้าซีดขาวแข็งค้างนั้น หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ก็ได้แตกสลายโดยสิ้นเชิง…
หญิงสาวเงียบงัน ดิ่งร่วงลงในวิปโยคสุดแสน ไม่รับรู้สิ่งใดนอกจากหัวใจที่แหลกยับเยินจนไม่มีอะไรหรือใครให้เหนี่ยวรั้งไว้ได้อีก หยดน้ำตาไหลร่วงเป็นสายราวกับทำนบผุพัง เปล่าเปลือยอยู่ในรวดร้าวแสนสาหัสอย่างที่ไม่อาจแบกรับใดๆ แม้กระทั่งลมหายใจของตนเอง…
หล่อนไม่ได้กรีดร้อง ไม่ได้อาละวาดโวยวาย หยุดสั่นสะท้านหรือกระวนกระวาย
และโดยไม่มีใครคาดคิด หม่อมราชวงศ์วราสิตางค์ก็รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่กระโจนเหยียบกรอบหน้าต่าง ก่อนถีบพาร่างของตนออกไปอย่างรวดเร็ว!!
พลั่ก!!
“กรี๊ดดดดด!!!!”
บ่าวรับใช้ทั้งสองกรีดร้องด้วยความตกใจพร้อมเสียงของอะไรบางอย่างแตกหักจากที่สูง วังชโนทัยพลันตกเข้าสู่ความชุลมุนอีกเป็นครั้งที่สองทันที
เพราะเบื้องล่างใต้หน้าต่างนั้น…คือร่างบอบบางของหม่อมราชวงศ์วราสิตางค์กลางกองเลือดสีสดซึ่งย้อมชุดนอนของหล่อนจนชุ่ม ดวงตาลึกโปนยังลืมค้างราวจ้องมองแสงจันทร์เบื้องบน และรอยยิ้มนั่น…รอยยิ้มแย้มพรายแสนเศร้าซึ่งไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้ว่าผลิบานแด่โศกนาฏกรรมของตนหรือเพราะตระหนักแน่น…ต่อความมุ่งมาดบางอย่างกันแน่!!