บทที่สอง
เทือกเขาหุบปีศาจที่อยู่ทางตะวันตกของจงหยวน มีลักษณะภูมิประเทศสูงต่ำขรุขระเต็มไปด้วยอันตราย แต่กลับซุกซ่อนแดนสุขาวดีในโลกมนุษย์ไว้แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนี้มีชื่อเรียกว่า ‘หุบเขาหมื่นบุปผา’ และอูมู่ฉินก็คือประมุขของหุบเขาหมื่นบุปผา
ในหุบเขาหมื่นบุปผามีสี่ฤดูที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ฤดูใบไม้ผลิดารดาษไปด้วยบุปผานานาพรรณ ฤดูร้อนปุยเมฆบางเบา ฤดูใบไม้ร่วงอาบย้อมไปด้วยใบเฟิงแดง ฤดูหนาวทุกแห่งถูกแต่งแต้มด้วยสีเงินยวง มีดินฟ้าอากาศที่พิเศษไม่เหมือนที่ใดและได้รับการปกป้องโดยธรรมชาติจากลักษณะทำเลที่ตั้ง ทำให้ที่นี่อยู่ห่างไกลจากเรื่องราวโลกภายนอก
ประชากรในหุบเขาที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างมีความถนัดของตน ทำในสิ่งที่ตนอยากทำ เรียนรู้ในสิ่งที่ตนรัก ไม่ถูกผูกมัดด้วยพิธีรีตองและประเพณีนิยม ใช้ชีวิตอย่างสง่างามตามอำเภอใจของตน
ปฐมาจารย์ของหุบเขาหมื่นบุปผาตอนก่อตั้งสำนักได้กำหนดกฎระเบียบไว้ข้อหนึ่ง ผู้เข้ารับตำแหน่งประมุขหุบเขาจะต้องเป็นสตรีที่งามหยาดเยิ้มล่มบ้านล่มเมือง ส่วนวรยุทธ์นั้นไม่จำเป็นต้องดีมาก วรยุทธ์สูงส่งก็มอบให้ผู้คุมกฎทั้งสี่ เสือดาว จิ้งจอก งู อินทรีไปตั้งอกตั้งใจฝึกฝนก็พอแล้ว
ตอนอูมู่ฉินอายุห้าขวบก็ถูกอาจารย์ผู้เป็นประมุขหุบเขาคัดเลือกออกมา เริ่มรับการอบรมสั่งสอนในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งประมุข ที่เรียกว่าอบรมสั่งสอนก็คือให้นางไปเล่นสนุกอยู่ในเทือกเขาหุบปีศาจที่สูงชะโงกเงื้อมและเต็มไปด้วยอันตราย
ทุกวันนางจะเที่ยวกระโดดโลดเต้นอยู่ในป่าเขาราววานรตัวหนึ่ง ปีนป่ายและห้อยโหน ฝูงวานรกลายเป็นสหายที่ดีของนาง ฝูงสุนัขป่ามีไมตรีจิตมิตรภาพต่อนางมาก พยัคฆ์และเสือดาวภายใต้การให้อาหารและเลี้ยงดูของนางก็หดกรงเล็บให้กับนาง กลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่คอยประจบออดอ้อน
นางพาสหายคนอื่นๆ ที่ร่วมฝึกฝนด้วยกันเล่นจากยอดเขาลูกนี้ไปถึงหุบเหวด้านโน้น เล่นจากลำธารสายนี้ไปถึงน้ำตกสายโน้น เล่นสนุกกระทั่งนางอายุแปดขวบ วันหนึ่งอาจารย์ก็เรียกนางเข้ามาในห้อง
“ป่าเขาในละแวกใกล้เคียงเจ้าคุ้นเคยหมดแล้วหรือ” อาจารย์ถาม
อูมู่ฉินพยักหน้าแรงๆ ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “คุ้นเคยดีเจ้าค่ะ” อย่าว่าแต่คุ้นเคย แม้แต่สัตว์ป่าที่มองดูแล้วรูปร่างหน้าตาเหมือนกันหมด นางยังแยกแยะได้ว่าตัวใดเป็นตัวใด
“ดีมาก ตอนนี้เจ้าไปเลือกคนมาสี่คน พรุ่งนี้ให้พวกเขาลงจากเขาไปเที่ยวเล่นกับเจ้า”
ดวงตาคู่งามของอูมู่ฉินเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้นดีใจ ในที่สุดนางก็สามารถเลือกผู้คุ้มกฎของตนได้แล้ว ที่อาจารย์ให้นางร่วมกิน นอน เล่นกับเหล่าสหาย นอกจากเพื่อบ่มเพาะความเข้าใจรู้ใจกันแล้ว ยังเพื่อให้นางได้เรียนรู้ที่จะแยกแยะข้อดีข้อเสียของสหายแต่ละคน รวมทั้งเข้าใจถึงอุปนิสัยของพวกเขา และนางก็มีคนที่อยู่ในใจอยู่แล้ว จึงรีบไปหาสหายสี่คน พามาอยู่เบื้องหน้าอาจารย์
อาจารย์ถาม “ตอนนี้เจ้าพูดซิ เพราะอะไรจึงเลือกสี่คนนี้”
อูมู่ฉินเริ่มวิเคราะห์ เนื่องจากนางเล่นอยู่ในป่าเขามาสามปีแล้ว จำนวนครั้งที่เจอสัตว์ป่ากินคน แมลงพิษ หรืองูพิษในป่าจึงไม่น้อย นอกจากอาศัยปฏิภาณไหวพริบของนางเองแล้ว ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากสหายในการหลบหลีกจากอันตราย ถ้านางจะหาคนลงจากเขาไปด้วยกัน ไม่เพียงต้องหาคนที่เฉลียวฉลาดพึ่งพาได้ ยังต้องมีความซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อนาง คิดเพื่อนางในทุกเรื่อง อีกทั้งคู่ควรแก่การเชื่อถือไว้วางใจ
อาจารย์ผงกศีรษะด้วยความพอใจ บอกนางพรุ่งนี้ลงจากเขาได้ ให้นางไปเตรียมตัว กำหนดเวลาไว้หนึ่งปี ครั้นแล้วอูมู่ฉินก็พาสหายสี่คนไปจัดเก็บสัมภาระ วันถัดมาทุกคนก็หอบหิ้วสัมภาระลงจากเขาไปผจญภัยด้วยความตื่นเต้นฮึกเหิม
หนึ่งปีให้หลัง อูมู่ฉินเก้าขวบแล้ว ได้กลับมาถึงหุบเขาหมื่นบุปผาเข้าคารวะอาจารย์
“สนุกหรือไม่” อาจารย์ถาม
“สนุกก็สนุกอยู่เจ้าค่ะ แต่คนที่ด้านล่างภูเขาเจ้าเล่ห์ปลิ้นปล้อนมาก” คนตัวน้อยทำปากยื่น ดูเหมือนจะได้รับความไม่เป็นธรรมมาไม่น้อย
อาจารย์เลิกคิ้ว ถามด้วยความสนอกสนใจ “พวกเขาเจ้าเล่ห์อย่างไรหรือ”
ตอนอยู่ด้านล่างภูเขาอูมู่ฉินได้รับความแค้นใจไม่น้อย ครั้นแล้วก็เริ่มระบายความคับแค้นใจให้อาจารย์ฟัง บ่นว่าไม่หยุดปาก นางบอกคนที่ด้านล่างภูเขาคำพูดกับการกระทำไม่เหมือนกัน พูดอย่างหนึ่งทำอีกอย่างหนึ่ง ละโมบโลภมาก ทำร้ายผู้อื่น โกหกหลอกลวงผู้อื่นต่างๆ นานา นางพูดจนนางหิว ตอนไปกินข้าวก็พูด หลังจากกินอิ่มแล้วก็ยังพูด พูดจนเหนื่อยแล้วอยากนอน แม้แต่ตอนละเมอก็ยังบ่นว่า นอนอิ่มแล้วตื่นขึ้นมาก็ยังพูดต่อ