ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บัญชาปราบโฉมงาม บทที่ 2
ภายใต้การฝึกฝนหล่อหลอมของอาจารย์ อูมู่ฉินฝึกฝนจนอายุสิบห้าเข้าพิธีปักปิ่น อาจารย์จึงได้มอบตำแหน่งประมุขหุบเขาให้นางอย่างเป็นทางการ และผู้คุมกฎน้อยทั้งสี่ที่ลงจากเขาด้วยกันในตอนนั้นก็เติบใหญ่เป็นหนุ่มสาวรูปงามแล้ว วรยุทธ์ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นอีกขั้น และได้เข้าสืบทอดตำแหน่งผู้คุมกฎทั้งสี่อย่างเป็นทางการ
หลังจากนางขึ้นสืบทอดตำแหน่ง อาจารย์ก็บอกว่าในที่สุดตนก็สามารถปลดภาระหนักลงไปหาชายในดวงใจ เป็นเพื่อนเขาไปท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศได้แล้ว
“อาจารย์ ศิษย์เพิ่งอายุสิบห้า ท่านก็ไม่อยู่สั่งสอนแล้วหรือ ทิ้งศิษย์ที่อายุยังน้อย ไปเที่ยวเอ้อระเหยอย่างมีความสุขกับชายในดวงใจ ท่านไม่รู้สึกผิดต่อมโนธรรมบ้างหรือ” อูมู่ฉินอาลัยอาวรณ์อาจารย์ เห็นว่าอาจารย์ทอดทิ้งนาง
อาจารย์กลับหัวเราะอย่างเปี่ยมเสน่ห์ชวนลุ่มหลง ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย “ดีชั่วอาจารย์ก็อยู่เป็นเพื่อนเจ้ามาสิบห้าปี นี่นับว่าเพียงพอแล้ว ความสาวของสตรีสั้นนัก อาจารย์จะมอบสิบห้าปีถัดไปให้กับชายที่รัก”
“อาจารย์ วรยุทธ์ที่สืบทอดจากปฐมาจารย์ที่เราฝึกจะทำให้รูปโฉมภายนอกไม่แก่เฒ่า ท่านกำลังหลอกข้า”
“รู้ว่าอาจารย์หลอกเจ้า แล้วยังไม่รู้จักดูทิศทางลมแสร้งทำเป็นโง่งม”
“อาจารย์ ท่านเห็นบุรุษดีกว่าศิษย์”
“คำพูดไร้สาระกล่าวให้น้อยหน่อย ตำแหน่งประมุขหุบเขาเป็นของเจ้าแล้ว ถ้าเจ้าไม่พอใจ ก็ไปเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งสักคนมาฝึกฝน หรือไม่ เจ้าก็ให้กำเนิดผู้สืบทอดออกมาสักคนก็ได้”
“อาจารย์ เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เป็นมารดาชั่วชีวิต…” ในเมื่อใช้เหตุผลเกลี้ยกล่อมไม่สำเร็จ ก็ได้แต่ใช้อารมณ์ความรู้สึกมาสร้างความหวั่นไหว นัยน์ตางามจนบรรยายไม่ถูกคู่นั้นมีหยาดน้ำตาเม็ดโตผุดขึ้นมาสองหยดทันที
“อย่ามาใช้วิธีนี้ อาจารย์ของเจ้ามีความตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ ไม่ถูกน้ำตาแค่สองหยดเท่านี้ทำให้สั่นคลอนได้ง่ายดาย เช่นนี้อย่าเหนื่อยเลย อาจารย์ไปแล้ว เจ้าดูแลตนเองให้ดี”
หลังจากสะกิดปลายเท้าด้วยวิชาตัวเบา เรือนร่างสง่างามพลันโผนทะยานออกไปดุจเทพเซียน ชั่วพริบตาเดียวก็หายลับไปในป่าเขา อาจารย์ผู้เลอโฉมซึ่งกลายเป็นอดีตประมุขหุบเขาไปแล้วได้ทอดทิ้งลูกศิษย์ไปหาชายคนรัก มุ่งไปสู่อนาคตอันสวยงามของการเป็นคู่รักที่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็อิจฉา
อูมู่ฉินเหม่อมองป่าเขากว้างใหญ่ไพศาลไม่เห็นจุดสิ้นสุด ใบหน้าเปียกชุ่ม นางร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้ลิ้มรสการพลัดพรากแยกจาก
“อาจารย์…” นางร่ำไห้ร้องเรียกอยู่กลางป่าเขา ในหุบเขาเต็มไปด้วยเสียงก้องสะท้อนของนาง
“ฉินเอ๋อร์ เข้มแข็งหน่อย แยกจากกันเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต มีแยกจากจึงจะมีพบเจอ ดุจดั่งฤดูกาลทั้งสี่ที่หมุนเวียนเปลี่ยนไป ฤดูใบไม้ผลิจากไปฤดูใบไม้ร่วงย่างกรายมาถึง มีเกิดมีตาย อาจารย์มีเวลาว่างจะกลับมาเยี่ยมเจ้า อวยพรให้อาจารย์เถิด…”
การถ่ายทอดเสียงพันลี้ของอาจารย์นุ่มนวลละมุนละไมดุจสายลมในฤดูใบไม้ผลิโลมลูบกิ่งหลิว โลมไล้หัวใจของนาง
หยดน้ำตาที่นางหลั่งออกมาถูกสายลมพัดกระจาย จางหายไปในอากาศ ดุจเดียวกับเงาร่างของอาจารย์ที่ค่อยๆ หายลับไปท่ามกลางท้องฟ้าและพื้นปฐพี หาไม่พบร่องรอย แต่คำพูดสุดท้ายก่อนจากไปของอาจารย์กลับยังคงอยู่ในใจของนาง
อาจารย์แม้จะจากไปแล้วก็ยังไม่ลืมสั่งสอนนาง ให้นางได้ลิ้มรสชาติของการแยกจาก ฝึกฝนหล่อหลอมจิตใจนางให้เข้มแข็ง
นางเข้าใจ อาจารย์ต้องการให้นางเห็นการพลัดพรากแยกจากเป็นเรื่องธรรมดา ยกขึ้นได้วางลงได้ นางยืนอยู่ที่ริมเขาเป็นเวลาเนิ่นนาน ปลอบประโลมความโศกเศร้าในใจตน หลังจากกลับคืนสู่ความสงบดังเดิม มุมปากก็มีรอยยิ้มผุดขึ้น นางเป็นประมุขคนใหม่ของหุบเขาหมื่นบุปผา นับแต่นี้ไปมีเรื่องให้ยุ่งมากมายแล้ว
หลังจากเป็นประมุขหุบเขาได้หนึ่งปี ยามนี้อูมู่ฉินก็อายุสิบหกแล้ว ไม่เพียงรูปร่างสูงขึ้น เส้นโค้งเส้นเว้าบนร่างกายก็มีความเป็นอิสตรีมากขึ้น อุปนิสัยก็สุขุมมากขึ้น มีผู้คุมกฎทั้งสี่และผู้อาวุโสทั้งหลายคอยให้ความช่วยเหลือ ทำให้นางดำรงตำแหน่งได้อย่างราบรื่น มีแต่ความสงบสุข ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล
ทุกวันอูมู่ฉินจะใช้เวลาไปกับการอ่านบันทึกเรื่องราวความรักระหว่างชายหญิงและรับฟังเรื่องราวการทะเลาะเบาะแว้งในยุทธภพที่ผู้คุมกฎอินทรีรวบรวมมา แต่ระยะนี้มีสามเรื่องที่กระตุ้นความสนอกสนใจของนางอย่างมาก
เรื่องแรก ฮ่องเต้ผู้สูงวัยประชวรอยู่บนแท่นบรรทม
เรื่องที่สอง ไป่หลี่ซีองค์รัชทายาทหายตัวไป
เรื่องที่สาม แม่ทัพซือถูที่อยู่เฝ้ารักษาชายแดนถูกค้นเจอหลักฐานสมคบกับข้าศึกทรยศบ้านเมืองและถูกจับขังคุก
สามเรื่องนี้เกิดขึ้นติดๆ กัน ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนักทั้งหมด เดิมท้องฟ้าอยู่สูง ฮ่องเต้อยู่ไกล ใต้หล้าสับสนวุ่นวายก็เห็นกันจนชินชาไม่ใช่เรื่องแปลก เรื่องการแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์ที่น่าเบื่อพวกนี้หุบเขาหมื่นบุปผาแต่ไรมาก็เห็นเป็นเพียงเรื่องซุบซิบยามว่างช่วงดื่มน้ำชาหลังอาหาร ทว่าเรื่องที่แม่ทัพซือถูถูกจับขังคุก กลับก่อกวนความสงบสุขในหุบเขาหมื่นบุปผาไม่น้อย
“แม่ทัพซือถูถูกใส่ความ!” อูหวั่นเซียง ผู้คุมกฎอินทรีที่รับหน้าที่รวบรวมข่าวในยุทธภพตบโต๊ะด้วยความเดือดดาล เพลิงโทสะทำให้สองแก้มนางแดงฉาน เพิ่มความงามเพริศพริ้งยิ่งขึ้น
“ระวังมือของเจ้า อย่าออกแรงมากเกินไป” อูมู่ฉินเตือนด้วยความปวดใจ
“มือของข้าไม่เป็นไร!” อูหวั่นเซียงพูดด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น
“ข้ารู้มือของเจ้าไม่เป็นไร แต่โต๊ะของข้าเป็น นี่เป็นโต๊ะไม้มะเกลือที่นายช่างเจียงเพิ่งทำเสร็จเมื่อวาน สวยงามยิ่ง”
นายช่างเจียงเป็นช่างไม้ผู้หนึ่ง ของที่เขาทำล้วนประณีตงดงาม ทั้งเป็นผู้มีความสามารถด้านการแกะสลัก โต๊ะไม้มะเกลือตัวนี้แกะลายดอกไม้และนกได้ราวกับมีชีวิต อูมู่ฉินเห็นแล้วชอบ ลูบไล้ไม่วางมือ
อูหวั่นเซียงกล่าวอย่างไม่พอใจ “ท่านประมุขได้ฟังข้าพูดหรือไม่ แม่ทัพซือถูถูกใส่ความ!”
“ข้ากำลังฟัง ข้าฟังอยู่ ข้าเชื่อเจ้า ไม่ต้องตื่นตระหนก”
“ข้าจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไร เขาถูกจับขังคุก ไม่รอไต่สวนอีกครั้งก็ตัดสินโทษ พรุ่งนี้จะคุมตัวไปเมืองหลวง ตัดศีรษะต่อหน้าราษฎรแล้ว!” อูหวั่นเซียงกำหมัด จะตบโต๊ะอีกแต่ถูกประมุขถลึงตาใส่ ทำได้เพียงเปลี่ยนไปตบเสาไม้ที่อยู่ข้างๆ แทน ทำให้เสาไม้ยุบลงไปทันที
อูมู่ฉินตวัดตามองเสาไม้แวบหนึ่ง แล้วหยิบถั่วลันเตามาแกะกิน ถั่วลันเตาในช่วงนี้เมล็ดอวบอิ่มรสชาติดี ปกตินางกินมันเป็นของกินเล่น
ไม่แปลกที่ศิษย์พี่อูหวั่นเซียงจะเดือดดาลเช่นนั้น เพราะนางชอบแม่ทัพซือถูผู้เปี่ยมไปด้วยความน่าเกรงขามและน่าเลื่อมใสผู้นั้น
ทุกครั้งเวลาศิษย์พี่รวบรวมข่าวสาร ขอเพียงเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่ทัพซือถู ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดเขาสร้างความดีความชอบในการทำศึก หรือเล็กขนาดเขากินข้าวไปแล้วกี่ชาม ไปห้องปลดทุกข์มากี่ครั้ง ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ศิษย์พี่ล้วนไม่ปล่อยผ่าน กระทั่งบรรพบุรุษแปดชั่วคนของเขาก็ตรวจสอบมาทั้งหมด
เมื่อใดที่ท่านฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันของคนผู้หนึ่งมาอย่างละเอียดจนพูดได้ชัดเจน ก็ย่อมมองออกถึงลักษณะนิสัยของคนผู้นั้น เขาทำเรื่องอะไร ไม่ทำเรื่องอะไร มีหลักการอะไร ไม่แตะต้องสิ่งต้องห้ามอันใด ล้วนคาดเดาออกมาได้
บอกซือถูหรานสมคบข้าศึกทรยศต่อบ้านเมือง ก็ไม่ต่างอะไรกับบอกว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก เหลือเชื่อเกินไป แม่ทัพซือถูเป็นบุรุษที่อาจหาญ ทว่าเวลานี้ถูกใส่ความ จะไม่ให้อูหวั่นเซียงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้เมื่อนางเพิ่งจะได้รับข่าวก็รีบวิ่งมาตบโต๊ะกับท่านประมุขทันที
“ท่านประมุข คนดีอายุไม่ยืนยาว ตัวหายนะอยู่นานนับพันปี เราไม่อาจปล่อยให้เขาตาย จะทำให้หัวใจของคนในใต้หล้าต้องเจ็บปวดด้วยความผิดหวัง”
“ทำให้หัวใจของเจ้าต้องเจ็บปวดด้วยความผิดหวังกระมัง” อูมู่ฉินล้อนาง
อูหวั่นเซียงหน้าไม่แดงลมหายใจไม่สับสนยกปลายคางขึ้นยอมรับ “ไม่ผิด เขาเข้าคุก ข้าเสียใจ ข้าจะต้องช่วยเขา!”
ผู้คุมกฎอีกสามคนบ้างก็ส่ายหน้ามองค้อน บ้างก็แอบหัวเราะรอชม บ้างก็แสดงท่าทีอย่างไรก็ได้ อูมู่ฉินคิดไปคิดมา ศิษย์พี่พูดถูก ซือถูหรานผู้นี้ไม่สมควรตาย และนางในฐานะประมุขหุบเขาก็ไม่ควรว่างมากเช่นนี้ ครานี้มีเรื่องมาให้นางได้ทำพอดี
ครั้นแล้วอูมู่ฉินก็สั่งการผู้คุมกฎจิ้งจอก “ไปเชิญผู้อาวุโสทั้งหลายมาปรึกษาหารือกัน”
“ได้เลย มีเรื่องให้ทำแล้ว” ผู้คุมกฎจิ้งจอกยิ้มแล้วลุกขึ้นมา ตอนเดินผ่านผู้คุมกฎอินทรีก็ตบๆ บ่านาง แล้วไปหาผู้อาวุโสทั้งหลายด้วยท่าทางเบิกบานใจ