ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บัญชาปราบโฉมงาม บทที่ 6
ทว่าแม้วรยุทธ์ที่ใช้มือเท้าจะสู้ไม่ได้ แต่วรยุทธ์ที่ใช้ปากนางกลับไม่แพ้ผู้ใด นางเอาเรื่องที่เขาเริ่มฝึกยุทธ์ตอนสี่ขวบ หกขวบถูกลงโทษให้คุกเข่า แปดขวบทะเลาะวิวาทกับคนอื่น สิบขวบไปจับลูกสุนัขป่าที่รังของมัน กระทั่งเรื่องส่วนตัวบางเรื่องและเรื่องที่ไม่อาจให้คนนอกรู้ก็พูดออกมาจนหมด
“ตอนท่านอายุสิบห้า ญาติผู้น้องห่างๆ อายุสิบขวบผู้หนึ่งคิดจะแอบจูบท่าน ทว่าจูบไม่สำเร็จ กลับถูกท่านถีบตกน้ำไป”
ตันไหวชิงตะลึงงัน นางรู้ได้อย่างไร เรื่องนี้ถูกท่านพ่อที่เป็นหัวหน้าวงศ์สกุลสั่งห้ามพูด มีเพียงคนรับใช้ไม่กี่คนที่รู้ แต่คนเหล่านั้นล้วนเป็นคนรับใช้เก่าแก่ ทั้งปิดปากแน่นสนิท ดังนั้นเรื่องที่เขาถีบญาติผู้น้องตกสระน้ำเป็นไปไม่ได้ที่จะแพร่งพรายออกมา
เขามีนิสัยรักสะอาดเกินเหตุต่ออิสตรี หญิงสาวที่เขาไม่ชอบคิดจะมาจูบเขา มีแต่จะทำให้เขารู้สึกขยะแขยง ต่อให้ญาติผู้น้องผู้นั้นจะงดงามดุจบุปผา เขาก็ไม่สนใจยังคงถีบนางตกน้ำ
ตอนนั้นพอท่านพ่อทราบเรื่องก็โกรธจนปิดประตูด่าว่าตำหนิเขา ท่านพ่อบอกแม้ญาติผู้น้องจะเป็นฝ่ายผิด แต่นางเพิ่งสิบขวบ เป็นพี่ชายถูกจูบนิดจูบหน่อยจะเป็นไรไป ตอนนั้นเขาไม่อาจยอมรับ ยังตอบกลับอย่างดื้อรั้น…
“ท่านบอกกับพ่อของท่านว่าไม่ใช่มีเพียงอิสตรีเท่านั้นที่ต้องรักษาพรหมจารี บุรุษก็มีพรหมจรรย์ต้องรักษาเช่นกัน” อูมู่ฉินเอ่ยคำพูดที่เขากล่าวในตอนนั้นออกมาอย่างไม่ตกหล่น
นางนึกถึงตอนนั้นที่นางเห็นข่าวซุบซิบเรื่องนี้จากหนังสือลับของผู้คุมกฎอินทรีก็หัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
ฉับพลันนั้นพลังขุมหนึ่งก็กดเข้ามาที่ลำคอของนาง อากาศรอบด้านที่พัดม้วนรุนแรงยามทั้งสองประมือกันก็นิ่งชะงัก แพ้ชนะปรากฏออกมาแล้ว ทั่วร่างของเขาแผ่กลิ่นอายเหี้ยมโหดดุดันน่าสะพรึงกลัว ฝ่ามือบีบอยู่ที่ลำคอของนาง ขอเพียงเขาออกแรง กระดูกคอนางก็จะหักสะบั้นทันที
“เจ้ารู้มาได้อย่างไร” คำถามของเขาเจือกลิ่นอายเหี้ยมโหดเย็นชา ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้แค่ลัดนิ้วมือ ลูกตาดำดุจก้อนน้ำแข็ง ยามมองจ้องนางประดุจราชาแห่งผีร้ายในเมืองนรก รอจะเอาวิญญาณนางไป
นี่ก็คือเขา เขาไม่ใช่คนอารมณ์เย็น และคนที่มาตอแยเขานั้นทางที่ดีควรไตร่ตรองดูว่าดวงของตนแข็งพอหรือไม่
แต่อูมู่ฉินไม่กลัว สมัยเด็กท่านปู่หมอดูเทวดาได้บอกว่านางดวงแข็ง มีความสุข ความโชคดี ไม่ว่าเรื่องใดก็กลับร้ายกลายเป็นดีได้
“ฟังจากนักเล่านิทาน”
“เจ้าส่งคนไปเฝ้าติดตามดูการเคลื่อนไหวของข้า!”
แรงบีบที่คอแน่นขึ้น อูมู่ฉินรู้สึกหายใจลำบากขึ้นทุกที ใบหน้าก็เป็นเพราะโลหิตถูกปิดกั้นจึงพองแดง
ตันไหวชิงจ้องมองนางนิ่ง ภายใต้มือที่กดลงไปของเขาลำคอของนางดูบอบบางอ่อนแอเป็นพิเศษ และใบหน้าที่พองแดงของนางก็เริ่มเปลี่ยนเป็นซีดขาว ทว่านางกลับยังยิ้มออก ไม่มีสีหน้าหวาดกลัวความตายแม้แต่น้อย
นางไม่กลัวตาย หรือไม่กลัวเขากันแน่
อูมู่ฉินเริ่มรู้สึกตาพร่าลาย แต่นางกำหมัดแน่นแข็งใจอดทนไว้ แม้จะหายใจลำบากก็ไม่ดิ้นรน เพราะนางมั่นใจว่าตันไหวชิงไม่สังหารนาง เว้นเสียแต่เขาไม่อยากรู้ว่าซือถูหรานอยู่ที่ใด
“คนเล่านิทานไม่เพียงพูดถึงท่าน ยังพูดถึงเรื่องของแม่ทัพซือถู”
สีหน้าของนางซีดขาวยิ่งขึ้น สองตามืดดำ ความทุกข์ทรมานจากการหายใจไม่ออกแทบจะบีบคั้นคนให้ตกอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง…
ในเวลานี้เอง จู่ๆ เขาก็ปล่อยนาง ร่างนางโงนเงนแทบจะยืนไม่อยู่
“แค่กๆๆๆ” นางไอรุนแรง มือหนึ่งลูบลำคอของตนเอง พยายามสูดลมหายใจเข้า
พริบตาถัดมาเขาพลันยื่นนิ้วมาจี้จุดบนร่างนางหลายจุด นางรู้สึกแข็งทื่อไปทั้งร่าง ลมปราณที่จุดตันเถียนถูกปิดกั้น ไม่อาจใช้พลังวัตรออกมาได้
วรยุทธ์ของนางถูกเขาปิดกั้นไว้แล้ว!
อูมู่ฉินหัวคิ้วขมวดแน่น นางมั่นใจว่าตันไหวชิงไม่สังหารนาง แต่คาดคิดไม่ถึงว่าเขาจะปิดกั้นวรยุทธ์ของนาง ครานี้เปลี่ยนเป็นนางยิ้มไม่ออก กลับเป็นตันไหวชิงที่หลังจากเห็นนางสีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง มุมปากก็หยักยกเป็นรอยยิ้มหยัน
นางประท้วง “วรยุทธ์ท่านสูงเพียงนี้ ยังจะกลัวข้าหนีอีกหรือ!”
“เช่นนี้ข้าจะได้ลดความยุ่งยาก ไม่ว่าอย่างไรคนที่หนีรอดจากค่ายกลของข้าไปได้หลายครั้งเช่นนี้ก็มีเจ้าเป็นคนแรก”
“ค่ายกลของท่านมีอะไรยอดเยี่ยมนักหรือไร”
คำพูดของนางทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็วางสีหน้าขรึม ถลึงตามองนางอย่างเยียบเย็น อูมู่ฉินไม่อารมณ์ดีเช่นเมื่อครู่อีก เมื่อวรยุทธ์ถูกปิดกั้นก็ไม่ต่างอะไรกับนกไร้ปีก ความรู้สึกนี้ย่ำแย่มาก!
แม้วรยุทธ์ของนางจะสู้เขาไม่ได้ แต่นางกลับเป็นยอดฝีมือในการทำลายค่ายกล บางครั้งการทำลายค่ายกลก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับวรยุทธ์ มันก็คล้ายกับการละเล่นที่ต่อสู้ด้วยสติปัญญา
“ซือถูหรานอยู่ที่ใด” เขาถามเสียงเย็น ไม่อ้อมค้อมใดๆ
“ขาอยู่ที่ตัวของเขา เขาไปไหนข้าจะรู้ได้อย่างไร” นางแค่นเสียงตอบ
“เขาถูกพวกเจ้าจับตัวไป เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร” เสียงเยียบเย็นเต็มไปด้วยการคุกคามบีบบังคับดังขึ้น
“พวกเรามาช่วยเขา ไม่ใช่จับตัวเขาไป รอจนปลอดภัยแล้วจึงได้ปล่อยเขาไป” นางปรายหางตามองเขาแวบหนึ่ง “เขาถูกใส่ความ พวกเราจะจับเขาไปทำไม ถ้าไม่เชื่อก็ไปสืบดูเอง”
นางนวดๆ คอ ตรงตำแหน่งที่ถูกเขาบีบกำลังร้อนผะผ่าวด้วยความเจ็บปวด
สายตาเยียบเย็นของเขาจับนิ่งอยู่ที่รอยเขียวช้ำบนลำคอขาวผ่องของนาง เห็นแก่ความใจกล้าของนาง เขาจะไม่ถือสา เพียงเอ่ยถามเสียงหนัก “พวกเจ้าจับตัวเขาไป แล้วก็ปล่อยเขา คนที่ไม่รู้ย่อมเข้าใจว่าเขาหนีการคุมขัง นี่เป็นการทำร้ายเขา”
อูมู่ฉินชายตามองเขาราวกับมองคนโง่เช่นนั้น “หากไม่จับตัวเขามา จะให้ยืนมองดูเขาขึ้นแท่นประหารหรือ มีชีวิตอยู่จึงจะมีโอกาสร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ตายแล้วก็ได้แต่เป็นวิญญาณผูกพยาบาท ทั้งยังชื่อเหม็นไปหมื่นปี”
สายตาของหญิงผู้นี้ทำให้เขาไม่ชอบใจอย่างมาก แต่สิ่งที่นางพูดกลับถูกใจเขา เขาตัดสินใจอีกครั้งว่าจะไม่ถือสานาง
“แม้เขาจะถูกคุมตัวส่งกลับเมืองหลวง ก็ไม่แน่ว่าจะต้องขึ้นแท่นประหาร ถ้าคิดจะเล่นงานเขาถึงตายจริง ระหว่างทางก็ลงมือได้แล้ว ไยต้องเจตนาแสดงความเร้นลับซับซ้อนเพื่อตบตาคนให้ต้องเหนื่อยยากคุมตัวเขาไปส่ง”
อูมู่ฉินอึ้งตะลึง มองเขาเต็มตาและพลันตระหนักรู้ “ที่แท้ท่านติดตามรถนักโทษมาตลอดทาง จุดประสงค์ก็เพื่อแอบคุ้มกันแม่ทัพซือถู”
ตันไหวชิงเองก็ชะงักอึ้ง สายตาที่มองนางไม่เยียบเย็นอีก คิดในใจว่าลู่ทางความคิดของหญิงผู้นี้หมุนไปมาเร็วยิ่ง เขาลอบติดตามขบวนนำส่งนักโทษมาตลอดทางเพื่อคุ้มกันซือถูหรานจริง ด้วยกลัวว่าระหว่างทางจะมีคนลงมือสังหารซือถูหราน
อูมู่ฉินเห็นเขาไม่ตอบ ก็ถือว่าเขายอมรับแล้ว นางหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าว “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็เป็นผู้ร่วมทางเดียวกัน เพียงแต่วิธีช่วยซือถูหรานต่างกันเท่านั้น”
ตันไหวชิงแค่นเสียงเย็นชา “นั่นกลับไม่แน่ บางครั้งช่วยคนกับทำร้ายคนต่างกันแค่เส้นบางๆ กั้นเท่านั้น ส่วนที่ว่าเป็นแบบไหน รอเจ้าไปถึงเมืองหลวง ค่อยถามใต้เท้ากรมอาญาก็แล้วกัน”
นางย่นหัวคิ้ว “ท่านจะจับข้าส่งกรมอาญาหรือ”
เขายิ้มน้อยๆ ยิ้มอย่างสดใสชวนมอง ไม่ว่าหญิงใดมาเห็นเข้าย่อมต้องลุ่มหลง แต่ในสายตาของอูมู่ฉินแล้วกลับไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มของเพียงพอนเหลืองที่มาเยี่ยมเยือนวันปีใหม่ จากนั้นนางก็ได้ยินเขาใช้น้ำเสียงแหบต่ำดึงดูดใจกล่าวขึ้น…
“ข้าเฝ้าตอรอกระต่ายมาครึ่งปี ไม่ถลกหนังกระต่ายออกมาชั้นหนึ่ง ไยมิใช่ทำให้เวลาครึ่งปีของข้าต้องสูญเปล่า”
อูมู่ฉินยิ้มไม่ออกอีกแล้ว นางถลึงตาใส่ตันไหวชิง ครานี้นางมั่นใจมากเรื่องหนึ่ง คนผู้นี้ไม่เพียงมีโรครักสะอาด ยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอีกด้วย!
( ติดตามตอนต่อไปวันที่ 26 เม.ย 62 )