ใช่แล้ว! ทุกครั้งที่ได้พบกัน เขาล้วนสวมแต่ชุดคลุมยาวสีเข้ม ทว่ายามที่เขาอยู่ภายใต้เปลวไฟส่องสะท้อนในตอนนี้ นางก็สามารถมองเห็นได้ว่าชุดที่เขาสวมอยู่นั้น ไม่ว่าจะบริเวณคอเสื้อ และข้อมือต่างก็มีผ้าต่วนสีดำกุ๊นขอบทองซับไว้อีกชั้นหนึ่ง ทำให้ทั้งร่างเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์
“ท่านอ๋องเสียสติไปแล้วหรือ! หากคิดก่อเรื่องก็ควรจะมีขอบเขต พวกเราต้องออกเดินทางไปแคว้นหนีตันด้วยกันนะพ่ะย่ะค่ะ!” เสนาบดีเฉวียนกัดฟันเอ่ยตวาดด้วยความโมโห
“พวกเรา? ใต้เท้าคิดว่าข้ากับเจ้าเป็นพวกเดียวกันจริงๆ หรือ” เว่ยหลันโจวยิ้มเย็นมองดูเสนาบดีเฉวียนที่หน้าเปลี่ยนสีไป ก่อนกล่าวต่อ “เรือเพิ่งจะเดินทางได้ไม่กี่วัน ในอาหารของข้าก็มีเครื่องปรุงเพิ่มเข้ามาแล้ว แน่นอนว่าไม่ทำให้ข้าถึงตายในทันที แต่จากปริมาณของยาพิษแล้ว คาดว่าหลังจากเดินทางไปถึงแคว้นหนีตัน พิษก็คงกำเริบจนข้าตายพอดี”
เสนาบดีเฉวียนกลืนน้ำลายลงคอ “มะ…ไม่จริง ผู้ใดกำลังสร้างข่าวลือเหลวไหลกัน”
แววตาเว่ยหลันโจวเย็นเยียบ “ข่าวลือ? นี่ไม่ใช่ความถนัดของเจ้านายเสนาบดีเฉวียน…อัครเสนาบดีเนี่ยหรือไร”
เสนาบดีเฉวียนขนลุกซู่ เขาเอ่ยถามเสียงสั่น “ท่านอ๋องหมายความว่าอย่างไร”
เว่ยหลันโจวพลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ภายในเมืองหลวงเล่าลือกันไปทั่วว่าข้าเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์นี่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่อัครเสนาบดีเนี่ยส่งคนออกไปกระจายข่าวหรือไร ไม่สิ ข้าลืมไป เบื้องหลังของอัครเสนาบดีเนี่ยยังมีพระพันปีอยู่อีกนี่”
เสนาบดีเฉวียนสีหน้าซีดขาวลงเรื่อยๆ เพราะว่าข่าวลือเหล่านี้เป็นฝีมือของพระพันปีกับอัครเสนาบดีเนี่ยจริงๆ แต่ผู้ที่รู้มีอยู่แค่ไม่กี่คน…เหตุใดเว่ยหลันโจวจึงรู้ได้
เสนาบดีเฉวียนมองดูฝูอ๋องที่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารอย่างหวาดกลัว ตอนที่เขากำลังจะเปิดปาก เสียง ‘ตุบ’ ก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง ไม่รู้ว่าแขนอาบโลหิตข้างหนึ่งลอยมาตกอยู่เบื้องหน้าเขาได้อย่างไร เขาตกใจจนร้องเสียงหลง ทรุดร่างลงนั่งกับพื้นอย่างทุลักทุเล มองดูศพพิกลพิการบนดาดฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยอย่างตกใจ เขาหอบหายใจหนัก พยายามกระถดถอยร่างกายไปข้างหลัง ด้วยเกรงว่าจะสัมผัสโดนแขนอาบโลหิตนั้น
เว่ยหลันโจวกลับก้าวยาวๆ มาข้างหน้า ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าเสนาบดีเฉวียนที่ตัวสั่นไปทั้งร่าง “ความจริงแล้ว ข้าอยากเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์จริงๆ เป็นผู้นำสำนักที่สามารถต่อกรกับราชสำนักได้ ไม่ว่าจะเป็นเทพเจ้าเว่ยหรือปีศาจเว่ย ล้วนแต่ฟังดูร้ายกาจมิใช่หรือ”
เว่ยหลันโจวค่อยๆ นั่งยองลงมา สายตาเขามองตรงไปยังเสนาบดีเฉวียนที่ก้มหน้าตัวสั่น บนใบหน้าคมคายมีรอยยิ้มเย็น “มองข้า!”
เสนาบดีเฉวียนเงยหน้าขึ้นอย่างขลาดกลัว “ท่านอ๋อง คือว่า…นั่น…นั่นล้วนเป็นเจตนาของพระพันปีกับท่านอัครเสนาบดี ไม่เกี่ยวกับกระหม่อมนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไม่ใช่เขี้ยวเล็บที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขาหรอกหรือ ไม่ใช่ได้รับคำสั่งมาว่าให้กำจัดข้าทิ้งระหว่างการเดินทางครั้งนี้หรือไร”
“ปะ…เปล่าพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีเฉวียนหลั่งเหงื่อเย็น เขาได้แต่ส่ายศีรษะไม่ยอมรับสุดชีวิต
“เปล่า? เจ้ากล้าปฏิเสธว่าคนทั้งหมดในเรือลำนี้ นอกจากเด็กรับใช้สามคนข้างกายข้าแล้ว ทุกคนล้วนไม่ใช่คนของพระพันปี อัครเสนาบดี หรือเจ้ารึ และคนของพวกเจ้าก็ล้วนไม่เลือกวิธีการ จะอย่างไรก็ได้ขอแค่ทำให้ข้าหมดลมหายใจก่อนไปถึงแคว้นหนีตัน จากนั้นค่อยโยนตัวคนทิ้งลงทะเล ทำให้หาศพไม่พบก็พอมิใช่หรือ” ประกายเย็นชาในดวงตาของเขาราวกับแทงทะลุผู้คนได้