ฉู่ซินเถียนกะพริบตาแล้วกะพริบตาอีก ฉับพลันภายในห้องก็มีคนชุดดำมาเพิ่มอีกสี่คน และอีกสี่คน กระทั่งมีทั้งหมดสิบสองคนยืนอยู่ภายในห้องนี้อย่างไร้สุ้มเสียง
ฉู่ซินเถียนนิ่งงันตัวแข็งทื่อ ก่อนจะเหลือบตามองเว่ยหลันโจวที่ยิ้มแย้มมองมาที่นาง ชั่วขณะนั้นนางพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที เขากำลังบอกนางว่าฐานะสูงส่งเองก็ไม่ได้อะไรมาก เพียงแค่มีสามหัวหกมือ ไม่สิ มีหลายหัวหลายมือเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น
นึกไม่ถึงว่าองครักษ์ลับข้างกายท่านอ๋องเจ้าสำราญผู้หนึ่งจะมากมายถึงเพียงนี้ เขาคงไม่ได้เป็นเหมือนที่คนในเมืองหลวงจำนวนน้อยนิดพูดว่ามีแผนการใหญ่โตอย่างการก่อกบฏจริงๆ ใช่หรือไม่
หนึ่งแววตารวมกับอีกสัญญาณมือของเว่ยหลันโจว คนชุดดำก็พากันหายตัวไปจากห้องราวกับภูตผีอย่างไรอย่างนั้น เหลือทิ้งไว้เพียงคนชุดดำสี่คนที่ยืนอยู่ตั้งแต่เริ่ม
ฉู่ซินเถียนกัดริมฝีปากพลางมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเว่ยหลันโจว
เว่ยหลันโจวสั่งให้คนชุดดำทั้งสี่ถอดผ้าปิดหน้าออก แล้วให้ฉู่ซินเถียนขยับฝีเท้าเดินมาอยู่ตรงหน้าคนทั้งสี่
นางกลั้นใจทำตาม พบว่าส่วนสูงของตนเองถึงแค่หน้าอกของบุรุษรูปร่างสูงใหญ่และองอาจทั้งสี่คนเท่านั้น
“สาวน้อย จดจำใบหน้าของพวกเขาให้ดี สี่คนนี้เป็นถึงองครักษ์ลับที่ข้าไว้ใจมากที่สุด ทั้งยังเป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ นับจากวันนี้ไป พวกเขาทั้งสี่คนจะสลับกันจับตาดูเจ้าอยู่ในมุมลับ” เมื่อเห็นฉู่ซินเถียนหันหน้ามามองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เว่ยหลันโจวจึงยิ้มน้อยๆ “เจ้าฟังไม่ผิดหรอก ดังนั้นจงจำให้ดีว่าวันหน้าเจ้าจะต้องปฏิบัติตัวอย่างระมัดระวัง ขอเพียงพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดต่อ ‘ภายนอก’ ออกไปประโยคเดียว หรือกระทำเรื่องที่ไม่ควรกระทำ พวกเขาก็จะเอาชีวิตเจ้าแทนข้าทันที”
ฉู่ซินเถียนหันหน้ากลับมามององครักษ์ลับทั้งสี่ช้าๆ ด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน ใบหน้าของพวกเขาแต่ละคนล้วนไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก ทั้งยังมีกลิ่นอายสังหารอีกด้วย
เมื่อเว่ยหลันโจวเห็นฉู่ซินเถียนมีสีหน้ากระวนกระวาย เขาจึงยิ้มถาม “เจ้าคิดว่าหากข้าพาองครักษ์ลับทั้งสี่กลับเมืองหลวง เหล่าราษฎรจะเชื่อหรือไม่ว่าข้าเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์”
ฉู่ซินเถียนหันหน้ากลับมามองเขาอย่างนิ่งอึ้งอีกครั้ง หัวข้อสนทนาของเขากระโดดข้ามไปอย่างมาก นางยังไม่ได้สติกลับมาเลย
“จำนวนคนเมื่อครู่นี้ยังไม่ใช่ทั้งหมด ที่จริงข้ายังเลี้ยงดูชาวยุทธ์ไว้อีกจำนวนไม่น้อย หากให้พวกเขาปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกัน นับๆ ดูแล้วก็มีร้อยกว่าคนได้” เว่ยหลันโจวมองฉู่ซินเถียนด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคิดว่าจำนวนคนร้อยกว่าคนนี้เพียงพอหรือไม่ ต่อให้ภายในเมืองหลวงจะเล่าลือกันไปทั่วแล้ว หรือคนที่เชื่อว่าข้าเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์จะมีน้อยเหมือนที่เจ้าพูด บางทีอาจมีไม่ถึงสิบคน แต่หากได้เห็นราษฎรทั้งเมืองหลวงต่างใช้สีหน้าตกใจเมื่อครู่นี้ของเจ้ามองดูข้าล่ะก็ ข้าจะต้องเพลิดเพลินมากแน่นอน ข้าล่ะอยากลองใช้ชีวิตเป็นเจ้าสำนักไร้ทุกข์ดูจริงๆ”
วาจาเหล่านี้ทำให้เด็กรับใช้ทั้งสามพากันแลกเปลี่ยนสายตาด้วยความประหลาดใจ กระทั่งองครักษ์ลับทั้งสี่ที่เคร่งขรึมอยู่ตลอดยังมีอาการแปลกใจอยู่บนใบหน้า ในเวลาอันก็กลับไปเป็นใบหน้าไร้ความรู้สึกตามเดิม
ฉู่ซินเถียนมองดูเว่ยหลันโจวที่ทำตัวเป็นเด็กๆ ท่าทางเหมือนรอคอยให้เทศกาลคริสต์มาสมาถึง สีหน้าคล้ายกับปรารถนาจะได้รับของขวัญจากซานตาคลอสอย่างไรอย่างนั้น นางพลันรู้สึกเพียงว่าเหนือศีรษะตนเองมีอีกาบินว่อนอยู่เต็มไปหมด
แน่นอนว่าฉู่ซินเถียนเองก็ฟังเข้าใจถึงความนัยที่แฝงอยู่ในคำพูดเหล่านี้ ซึ่งจะบอกว่าเว่ยหลันโจวไม่ใช่เจ้าสำนักไร้ทุกข์นั่นเอง