หลี่เมิ่งซีคิดว่าอย่างไรนายท่านใหญ่ก็ไม่อาจไปสอบถามท่านแม่ในนามของนางได้อยู่แล้วว่าเรื่องต้มโจ๊กสมุนไพรนี้เป็นจริงหรือไม่ นางจึงกุเรื่องขึ้นมาส่งเดช แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่งมั่นคง มองไม่เห็นความผิดปกติแม้แต่น้อย
“จะทำโจ๊กสมุนไพรแค่บอกวิธีกับแม่ครัวก็พอ ไม่จำเป็นต้องลงมือทำเอง” นายหญิงใหญ่พูดเสียงเย็น
“เรียนนายหญิง ขั้นตอนการทำโจ๊กสมุนไพรต้องอาศัยความพิถีพิถันอย่างมาก เพราะจะส่งผลถึงคุณภาพของโจ๊ก เช่นการเลือกข้าว ต้องเป็นข้าวเมล็ดกลม ข้าวหอมดีที่สุด ข้าวหนัก ข้าวเบารองลงมา ทั้งยังต้องเลือกข้าวดีที่สดใหม่มีคุณภาพ ข้าวต้องไม่ขึ้นรา น้ำที่ใช้หุงต้องดูว่าสะอาดหรือไม่ อีกทั้งต้องเติมน้ำให้พอดีในคราวเดียว ห้ามเติมน้ำระหว่างต้ม รสชาติโจ๊กถึงจะออกมาดี การต้มโจ๊กต้องต้มจนยางข้าวและรสชาติออกมา แต่ต้องไม่ทำลายสารอาหารภายใน ไฟที่ใช้ถือเป็นเคล็ดลับสำคัญ ไฟที่ว่ารวมถึงไฟแรงไฟอ่อน ระยะเวลาที่ต้ม รวมถึงลำดับการใส่วัตถุดิบ
ไฟแรงไฟอ่อนแบ่งเป็นไฟเหวินเป็นไฟอ่อน ไฟอู่เป็นไฟแรง ไฟเหวินอู่เป็นไฟปานกลาง โจ๊กสมุนไพรต่างชนิดใช้ระดับไฟที่ต่างกัน แม้แต่โจ๊กชนิดเดียวกันยังใช้ไฟที่ต่างกันในแต่ละช่วงของการต้ม ลำดับการใส่วัตถุดิบก็ไม่เหมือนกัน วัตถุดิบที่สุกยากลงหม้อก่อน ที่สุกง่ายลงหม้อทีหลัง ที่สูญเสียสารอาหารง่ายลงหม้อเป็นลำดับสุดท้าย โดยทั่วไปจะต้องต้มข้าวก่อน แล้วค่อยใส่สมุนไพร สุดท้ายจึงปรุงรส เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่อาจอธิบายให้เข้าใจได้ในชั่วเวลาสั้นๆ ลูกคิดว่าร่างกายของคุณชายรองสำคัญมาก ให้แม่ครัวต้มโจ๊กให้คุณชายรองกินส่งเดช สิ้นเปลืองวัตถุดิบโดยเปล่าประโยชน์อาจเป็นเรื่องเล็ก แต่ส่งผลเสียต่อร่างกายคุณชายรองเป็นเรื่องใหญ่ เช่นนั้นลูกจึงลงมือทำด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
หลี่เมิ่งซีลอบคร่ำครวญกับตนเองในใจ ขอโทษด้วยนะคุณชายรอง เพื่อให้ร่างอันบอบบางของข้าไม่ต้องถูกลงโทษ จึงได้แต่เอาสุขภาพของท่านมาเป็นโล่กำบังแล้ว
“หลานสะใภ้คนดี ลำบากเจ้าแล้วที่ขบคิดอย่างรอบคอบเช่นนี้ เห็นแก่ที่เจ้าคำนึงถึงสุขภาพของคุณชายรอง ครั้งนี้ไม่ลงโทษแล้วกัน แต่ว่าครั้งหน้าห้ามเจ้าฝ่าฝืนกฎระเบียบอีก” เหล่าไท่จวินผงกศีรษะพูด ใบหน้าแต้มยิ้ม
“หลานขอบคุณในความเมตตาของเหล่าไท่จวินเจ้าค่ะ วันหน้าจะจดจำกฎระเบียบของคฤหาสน์ แต่หลานยังมีอีกเรื่องที่อยากขอ หวังว่าเหล่าไท่จวินจะเมตตาด้วย” หลี่เมิ่งซีโขกศีรษะให้เหล่าไท่จวิน
“เรื่องอะไรหรือ”
“หลานอยากขออนุญาตใช้ห้องครัวเล็กในเรือนของคุณชายรองได้หรือไม่ ช่วงนี้ร่างกายของคุณชายรองยังอ่อนแอมาก หลานอยากดูแลอาหารการกินทั้งสามเวลาของคุณชายรองในแต่ละวันด้วยตนเองเจ้าค่ะ”
ถ้าไม่เข้าครัวแล้วจะถอนพิษให้เซียวจวิ้นได้อย่างไร ตั้งหนึ่งเดือนเชียวนะ ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง หลี่เมิ่งซีกำลังพยายามไขว่คว้าโอกาสในการทำโจ๊กสมุนไพรให้เซียวจวิ้น นี่เป็นจรรยาบรรณและคุณธรรมของคนเป็นหมอ แม้นั่นจะเป็นเรื่องในอดีตเมื่อชาติก่อนแล้ว แต่นางยังคงยึดมั่นในจรรยาบรรณอย่างยิ่ง
“ดี!ๆๆ ลำบากเจ้าแล้วที่ทุ่มเทดูแลจวิ้นเอ๋อร์อย่างเต็มที่ นับเป็นบุญวาสนาของจวิ้นเอ๋อร์!” เหล่าไท่จวินรับปากพลางพยักหน้า หันไปพูดกับนายหญิงใหญ่ “ลูกสะใภ้ นับแต่นี้ไปอาหารการกินของจวิ้นเอ๋อร์กับซีเอ๋อร์ให้ส่งตรงไปที่ห้องครัวเล็กในเรือนจวิ้นเอ๋อร์เลย ส่งแม่ครัวฝีมือคล่องแคล่วไปอีกสองคนด้วย ดูว่าห้องครัวขาดเหลืออะไรและเพิ่มเติมให้ครบถ้วน”
“ลูกจะจัดการให้เดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ชุยซื่อพูดพลางหันไปสั่งคนให้ออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
“ซีเอ๋อร์ เจ้าลุกขึ้นเถอะ ลำบากเจ้าแล้ว”
“ขอบคุณเหล่าไท่จวินเจ้าค่ะ”
หลี่เมิ่งซีรู้สึกว่าสองขาของตนชาไปหมดแล้ว นางให้หงจูประคองยืนขึ้น พอยืนขึ้นก็เห็นสีหน้าของจางอี๋ไท่ที่ยืนอยู่หลังชุยซื่อ ดวงตาของจางอี๋ไท่มีความร้ายกาจวูบขึ้นมา หลี่เมิ่งซีตกใจ ชุยซื่อไม่ชอบตน นางรู้สึกตั้งแต่แรกแล้ว แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เซียวจวิ้นเป็นบุตรชายแท้ๆ ของนาง พ่อแม่สามีไม่ชอบลูกสะใภ้ ในยุคปัจจุบันก็พบเห็นได้บ่อยครั้ง ซึ่งหลี่เมิ่งซีเข้าใจได้ แต่ตนกับจางอี๋ไท่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย ตนไม่ได้แย่งสามีนางสักหน่อย ทั้งยังไม่ได้ขวางทางนางตรงที่ใด ไยนางจึงเคียดแค้นตนเช่นนี้เล่า