จางซิ่วเห็นสายตานับถือของปิงซินที่มองมาแล้ว หัวใจจึงเบิกบานยิ่งนัก ราวกับมองเห็นตนเองในชุดเจ้าสาวกุมมือสบตากับเซียวจวิ้นที่สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดงอยู่ในห้องหอ เซียวจวิ้นจ้องมองนางเงียบๆ ด้วยความรักลึกซึ้ง ดวงหน้าเล็กจิ้มลิ้มแดงเรื่อเพราะความเขินอาย หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก เมื่อพูดถึงเซียวจวิ้นแล้ว จางซิ่วก็จมจ่อมอยู่ในจินตนาการ สองแก้มขึ้นสีแดงเรื่อ
“คุณหนู…” ปิงซินหมุนตัวจะจากไปพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เห็นคุณหนูจมอยู่ในภวังค์ความคิด จึงร้องเรียกเสียงค่อย
จางซิ่วดึงสติกลับมา เห็นปิงซินมองตนจึงกระแอมเบาๆ แล้วถามเสียงเรียบ “มีอะไรอีกหรือ”
“บ่าว…บ่าวคิดไปคิดมาแล้วยังคงรู้สึกไม่สบายใจ ได้ยินว่าหน้าของสะใภ้รองซีดขาวมิต่างจากผี ดูเหมือนนางจะป่วยจริงๆ แล้วไฉนหมอจึงไม่เขียนใบสั่งยาเล่าเจ้าคะ”
จางซิ่วฟังแล้วขมวดคิ้วเช่นกัน แต่แล้วก็ตอบทันที “เรื่องแค่นี้ก็ไม่เข้าใจหรือ หมอไม่สั่งยามีความเป็นไปได้เพียงสองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือป่วยหนักมาก พี่ชายคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องสั่งยา ปล่อยให้โรคของพี่สะใภ้เป็นไปตามยถากรรม สองคือป่วยไม่หนักหนาอะไร เพื่อแสดงให้เห็นว่าพี่สะใภ้ไม่ได้ป่วย พี่ชายจึงไม่ได้ให้หมอสั่งยา ถึงอย่างไรคนก็ไม่ตายอยู่แล้ว เห็นได้ว่าเพื่อข้าแล้ว พี่ชายนับว่าพยายามมากจริงๆ”
ปิงซินฟังแล้วก็สงสัยในใจ ทว่ายังคงผงกศีรษะรับคำ “คุณหนูพูดถูกเจ้าค่ะ ตอนสะใภ้รองกระอักเลือด นายหญิงใหญ่บอกหมอเป็นนัยว่าห้ามสั่งยาดี ให้สั่งยาแค่เป็นพิธีก็พอ ปล่อยให้โรคของสะใภ้รองเป็นไปตามยถากรรม ไม่แน่สองวันนี้สะใภ้รองอาจจะป่วยหนักขึ้น”
“ถึงอย่างไรครั้งนี้พี่สะใภ้ก็หนีไม่รอดแน่ พี่ชายมีความจริงใจต่อข้าเช่นนี้ ข้าย่อมมิอาจทำให้เขาผิดหวัง สองวันนี้พวกเราอย่าก่อเรื่องให้พี่ชายอีกเลย ค่อยๆ รอไปดีกว่า เจ้าเองก็ไปที่เรือนนั้นให้น้อยลงหน่อย ให้คนคอยจับตาดูไว้ก็พอ ยิ่งใกล้ถึงช่วงเวลาสำคัญก็ยิ่งต้องสุขุม เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวทราบแล้ว” ปิงซินฟังคำพูดของคุณหนูที่ไม่รู้ว่าปลอบใจตนเองหรือสั่งสอนนางกันแน่แล้วก็รีบผงกศีรษะรับคำ ขอเพียงเป็นคำสั่งคุณหนู รับคำไว้ย่อมไม่ผิดพลาดแน่
จางซิ่วกับปิงซินต่างก็วาดฝันถึงอนาคตอันงดงามอย่างสุขใจ ทว่าทั้งสองกลับลืมนึกถึงเรื่องหนึ่งไป หากเซียวจวิ้นทำเรื่องโหดร้ายเช่นนี้ได้จริง เขายังจะเป็นคนดีที่นางสามารถฝากชีวิตทั้งชีวิตไว้ได้อีกหรือ
รถม้าคันหนึ่งมุ่งหน้าไปยังวัดจิ้งอวิ๋นอย่างไม่เร็วไม่ช้า ภายในรถเป็นหลี่เมิ่งซี จือชิว จือชุนสามนายบ่าว จือชิวแอบเลิกม่านโปร่งตรงหน้าต่างรถ หลี่เมิ่งซีมองตามมือนางออกไปข้างนอก เห็นว่าข้างนอกเต็มไปด้วยรถราและผู้คน ดูคึกคักทีเดียว ไม่เหมือนกับวัดเก่าแก่อันแสนเงียบเหงาที่ตั้งอยู่บนเขาอย่างโดดเดี่ยวเฉกเช่นที่นางจินตนาการไว้ เห็นได้ชัดว่าที่นี่เป็นเหมือนตลาด ราวกับนางได้ย้อนกลับไปยังสถานที่ท่องเที่ยวในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด สมัยโบราณมีสถานที่ครึกครื้นเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
มองผู้มาสักการะและพ่อค้าหาบเร่ที่เดินไปมาไม่ขาดสาย ฟังเสียงตะโกนดังค่อยสลับกันไปแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงพึมพำ “คิดไม่ถึงว่าวัดจิ้งอวิ๋นจะครึกครื้นเช่นนี้”
“สะใภ้รองไม่รู้อะไร วัดจิ้งอวิ๋นแห่งนี้ไม่เหมือนกับวัดอื่นๆ หรอกนะเจ้าคะ เพราะเป็นวัดใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นฉี เจ้าอาวาสหมัวเต๋อของที่นี่เป็นภิกษุชั้นสูงที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก มีฉายาทางธรรมว่าจิ้งอวิ๋น ว่ากันว่าคนผู้นี้บำเพ็ญตบะมานับร้อยปี อาคมสูงส่ง ช่วยมวลมนุษย์ขจัดภัยอำนวยสุข ศักดิ์สิทธิ์มากเจ้าค่ะ”
“ศักดิ์สิทธิ์มาก?!”
“สะใภ้รองอย่าได้ไม่เชื่อถือเป็นอันขาด ได้ยินว่าฮ่องเต้จิ่นตี้มาสักการะที่นี่ทุกปี พวกสกุลสูงศักดิ์และชนชั้นสูงทั้งหลายยิ่งไม่ต้องพูดถึง สี่ฤดูของที่นี่ล้วนมีผู้คนมากราบไหว้บูชาเนืองแน่น ยังมีผู้ที่เดินทางมาจากแดนไกล นานวันเข้าที่นี่จึงค่อยๆ กลายเป็นเขตการค้าที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเมืองผิงหยาง ทั้งยังเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองผิงหยาง ภาพเช่นนี้หาชมในวัดอื่นไม่ได้หรอกนะเจ้าคะ สะใภ้รอง บ่าวยังได้ยินมาว่าเจ้าอาวาสหมัวเต๋อผู้นี้มีนิสัยประหลาดอย่างหนึ่ง จะพบแต่ผู้ที่มีวาสนากับตนเท่านั้น หากเขาคิดว่าไร้วาสนา ต่อให้เจ้าบริจาคเงินทองกองสูงเป็นภูเขาก็ไม่มีโอกาสได้พบ ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือ ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ คนที่มาขอพบเขาโดยไม่เสียดายเงินทองกลับยิ่งมีมากขึ้น”
หลี่เมิ่งซีมองค้อนจือชิวแวบหนึ่ง แปลกอะไรกัน เห็นชัดว่าเป็นเพราะ… ‘ต่ำช้า’! หลี่เมิ่งซีที่มาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดไม่เคยเชื่อเรื่องผีสางเทวดา นางจึงรู้สึกไม่นับถือจิ้งอวิ๋นต้าซือที่ถูกเล่าลือไปอย่างอัศจรรย์ผู้นี้อย่างยิ่ง
จือชุนกับจือชิวไม่สนใจสายตาค้อนควักของสะใภ้รอง ยากนักกว่าจะได้ออกจากคฤหาสน์ ใบหน้าของสองสาวใช้จึงยากจะปกปิดความตื่นเต้น พวกนางเหลียวซ้ายแลขวา พูดคุยเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด