หลี่เมิ่งซีเห็นภิกษุชราผู้นี้เอาแต่สวดมนต์แล้วก็นึกกลัว นางรู้สึกว่าภิกษุตรงหน้าลึกล้ำยากจะคาดเดา ขืนปล่อยให้เขาสวดมนต์ต่อไป ดีไม่ดีเขาอาจรู้ว่านางทะลุมิติมา เห็นจิ้งอวิ๋นต้าซือมือลูบเครา เงียบงันไม่พูดจา ด้วยรู้ว่าเขาไม่เชื่อวาจาของนางเมื่อครู่นี้ จึงกระแอมเสียงค่อยแล้วพูดต่อ “ต้าซือ โลกนี้มีเรื่องของโชคชะตาและการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆ หรือ โชคชะตาที่สวรรค์กำหนดไว้แล้วจะไม่เปลี่ยนแปลงแน่หรือ ในเมื่อมิอาจเปลี่ยนแปลง แล้วไยต้องมาเกิดในโลกนี้ด้วยเล่า ข้าน้อยงุนงงไม่เข้าใจเลย หวังว่าต้าซือจะช่วยชี้แนะได้”
“อมิตาภพุทธ สีกา ความหมกมุ่นมีอยู่แค่ในใจเท่านั้น ขอถามหน่อยว่าผีเสื้อในปีหน้าจะพบดอกไม้ในปีนี้ได้อย่างไร อมิตาภพุทธ วาสนาและการพบพานจะทำให้ทุกสิ่งสำเร็จผลได้ สีกามิต้องเหน็ดเหนื่อยไป สิ่งที่อยู่ตรงหน้าจึงจะเป็นของจริง”
คำพูดนี้ของจิ้งอวิ๋นต้าซือทำให้หลี่เมิ่งซีบรรลุแจ้ง ตรงหน้ากระจ่างปลอดโปร่งทันใด นางปล่อยวางอดีตนานแล้ว และใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณที่แสนจะย่ำแย่นี้อย่างสงบเสงี่ยมมาโดยตลอด ยิ้มมองดอกไม้หน้าเรือนผลิบานและร่วงโรย แต่หลายวันนี้นางกลับหมกมุ่นกับเรื่องราวในอนาคตที่ไม่อาจล่วงรู้ได้ ปักใจเชื่อว่าในเมื่อต้านทานไม่ได้แล้วไยต้องต้านทานด้วย ดังนั้นจึงหดหู่ใจมาตลอด ใช้ชีวิตไม่ต่างจากศพเดินได้
ย้อนพิจารณาดูให้ดี อนาคตยังไม่เริ่มต้นขึ้นเสียด้วยซ้ำ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าโชคชะตาจะเป็นจริงหรือไม่ เหตุใดวันนี้จึงต้องใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขเช่นนี้ด้วยเล่า อนาคตจะเป็นอย่างไรนั้นก็ช่างมันเถอะ ข้าจะไขว่คว้าเพียงสิ่งที่ข้าต้องการ จมลอยไปตามคลื่นก็ช่าง เพราะข้าจะจดจำเพียงวันนี้เท่านั้น คิดแล้วหลี่เมิ่งซีจึงลุกขึ้นคารวะ “ใคร่ครวญให้ดีแล้ว เป็นข้าน้อยเองที่ยึดติดเกินไป มีทิฐิมากถึงเพียงนี้ แล้วจะหลุดพ้นได้อย่างไร ขอบคุณต้าซือที่ชี้แนะหนทาง”
“อมิตาภพุทธ สีกา อาตมาขอตัวก่อน”
มองเงาร่างของจิ้งอวิ๋นต้าซือที่จากไป หลี่เมิ่งซีก็ซับเหงื่อเม็ดเล็กที่ซึมออกมาบนหน้าผาก นางลอบตัดสินใจว่าวันหน้าอย่ามาที่วัดหรืออารามพวกนี้บ่อยนักเลยจะดีกว่า ไม่แน่ในนี้อาจมีบุคคลลึกลับที่มีวิชาอาคมซ่อนอยู่จริงๆ แล้วมีการเปิดเผยเรื่องที่นางทะลุมิติมา กระทั่งทุกคนเห็นนางเป็นตัวประหลาด นางอาจจะถูกจับไปเผาทั้งเป็นก็ได้
เดินช้าๆ ออกจากวิหาร ด้วยไม่เห็นเงาร่างของเซียวจวิ้น นางจึงคิดจะรออยู่นอกวิหาร กวาดตามองรอบวิหารเจริญธรรมที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูปสูงต่ำอ้วนผอมแตกต่างกันไป องค์นี้มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์กวนอิน องค์นี้แน่นอนว่าย่อมเป็นเหวินซูผูซ่า แล้วองค์นี้เป็นใครเล่า
มองพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่มีสีหน้าและอากัปกิริยาที่หลากหลาย เห็นพวกเขาบ้างก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน บ้างก็ถลึงตาดุดัน บ้างก็เผยอริมฝีปากนิดๆ ใบหน้าระบายยิ้มน้อยๆ บ้างก็นั่งขัดสมาธิ ประนมนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกัน บ้างก็หลับตาลงครึ่งหนึ่ง ในมือถือพระคัมภีร์ มองดูรอบหนึ่งแล้วนางก็แยกแยะได้เพียงแค่สององค์เท่านั้น
อดคิดถึงชาติก่อนตอนไปเที่ยววัดเซ่าหลินไม่ได้ นางก็เคยเข้าไปเยือนวิหารแบบนี้เช่นกัน ข้างในมีพระโพธิสัตว์ในอิริยาบถต่างๆ มัคคุเทศก์คอยแนะนำพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ ชั่วขณะหนึ่งหลี่เมิ่งซีเหมือนได้ย้อนกลับไปในชาติก่อน ภาพในชาติก่อนซ้อนทับกับภาพในชาตินี้ วิหารเหมือนกัน พระโพธิสัตว์เหมือนกัน นางเหมือนกัน ทำให้นางแยกไม่ได้ว่าตรงหน้านี้เป็นความจริงหรือความฝัน ราวกับยามนี้นางอยู่ในชาติก่อนและแค่ฝันไป พอตื่นจากฝัน ทุกอย่างก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม คิดแล้วจึงเปล่งเสียงเบาๆ “บุปผามิใช่บุปผา สายหมอกมิใช่สายหมอก มาเยือนกลางดึก ฟ้าสางจากลา ยามมาประหนึ่งฝันคงอยู่มินาน ยามจากไปดุจเมฆสลายสูญ”
หมุนตัวกลับมาก็เห็นเซียวจวิ้นยืนอยู่หน้าประตูวิหาร ขมวดคิ้วแน่น