เห็นท่านย่ากับบิดายังคงยืนอยู่ เซียวจวิ้นฝืนข่มความเจ็บปวดในใจ แล้วหันไปพูดกับเซียวซย่าที่ยืนอึ้งอยู่ด้านข้างด้วยเสียงอันดัง “ยังจะยืนเฉยอยู่อีกหรือ รีบจัดที่นั่งให้ท่านย่า บิดา และน้องสาม แล้วก็ยกน้ำชา!”
เซียวเหยียนยกน้ำชาเดินเข้ามาแล้ว เซียวซย่าจึงได้สติไปเช็ดเก้าอี้พลางเชิญเหล่าไท่จวิน นายท่านใหญ่ และคุณชายสามนั่งลง วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว นายท่านใหญ่จึงถามเสียงอ่อนโยน “เมื่อวานรัชทายาทเสด็จมาที่นี่มีอะไรหรือ เหตุใดจวิ้นเอ๋อร์จึงหย่าซีเอ๋อร์โดยไม่บอกกล่าว แม้แต่ข้ากับท่านย่าเจ้ายังเพิ่งทราบเรื่องตอนที่ซีเอ๋อร์ออกจากคฤหาสน์ไปแล้ว”
ได้ยินบิดาถามถึงเรื่องนี้ เซียวจวิ้นก็ร่างกายสะท้านก่อนตอบอย่างรวดเร็ว “รัชทายาทรับราชโองการเดินทางลงใต้ไปตามหาเซียนปรุงยา รู้ว่าลูกมีสหายอยู่ทางใต้มากมายจึงอยากชวนลูกเดินทางลงใต้ไปด้วยกัน มีพระประสงค์จะใช้กำลังทางใต้ของสกุลเซียวในการตามหาเซียนปรุงยา ลูกจึงเขียนจดหมายถึงสหายที่อยู่ทางใต้ตลอดทั้งคืน แนะนำให้พวกเขารู้จักกับรัชทายาท”
ฟังคำอธิบายเช่นนี้แล้วเหล่าไท่จวินกับนายท่านใหญ่ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ชั่วขณะนั้นคิดไม่ออกว่าคืออะไร นายท่านใหญ่ยังคงซักไซ้ต่อ “แล้วเรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับซีเอ๋อร์ เหตุใดจวิ้นเอ๋อร์จึง…”
“บิดาก็รู้ว่าลูกเป็นโรคลมหนาว หลายวันนี้ไออย่างหนัก ก่อนหน้านี้ลูกหาเวลาไปพบหมอหลวงหลี่มาแล้ว หมอหลวงหลี่บอกว่าปอดของลูกถูกทำร้าย ต้องพักผ่อนอย่างสงบ ไม่เหมาะที่จะเดินทางไกลลงใต้ หากถูกลมหนาวอีกครั้งเกรงว่าจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ลูกจึงคิดว่ามิสู้ให้บิดาพาพี่ใหญ่กับน้องสามลงใต้ไป ส่วนลูกก็จะประจำอยู่ทางเหนือ หนึ่งเพื่อรักษาร่างกาย สองเพื่อเฝ้ากิจการของตระกูล ตอนนี้สถานการณ์คับขัน บิดาอย่าพูดมากอีกเลย ท่านยกตำแหน่งประมุขสกุลให้ลูกก่อนเถอะ ลูกจะเฝ้าอยู่ที่นี่เอง”
ฟังคำพูดนี้แล้วนายท่านใหญ่ก็ลุกขึ้นถามทันที “จวิ้นเอ๋อร์ต้องการเฝ้ากิจการของตระกูลเอาไว้ถึงได้หย่าซีเอ๋อร์รึ!”
“ฐานะของซีเอ๋อร์ขัดต่อคำสอนของบรรพบุรุษ ลูกจำเป็นต้องหย่านางจึงจะรับตำแหน่งประมุขสกุลได้ บิดาไม่เชื่อสามารถไปถามหมอหลวงหลี่ได้ ร่างกายของลูกทนรับความลำบากจากการเดินทางไกลไม่ไหวจริงๆ” เซียวจวิ้นพูดจบก็ไอสำลักอย่างรุนแรงพักหนึ่ง
ปีก่อนเซียวจวิ้นเกือบป่วยตายอยู่กลางทาง กระนั้นเขาก็ยังยืนกรานที่จะเดินทางลงใต้ ไฉนครั้งนี้จึงบอกว่าไม่ไหวเสียแล้วเล่า นายท่านใหญ่พลันเข้าใจ บุตรชายทำเช่นนี้ หนึ่งเพื่อให้ซีเอ๋อร์หลุดพ้นจากสกุลเซียว ไม่ต้องพลอยเดือดร้อนเพราะสกุลเซียวไปด้วย สองเพราะเป็นห่วงตนถึงได้อาสาอยู่ที่นี่ต่อเอง หัวใจพลันอบอุ่น ประทับใจในความกตัญญูของบุตรชาย แต่สีหน้ายังคงบึ้งตึง และเอ่ยสั่งสอนด้วยเสียงที่ห้วน “จวิ้นเอ๋อร์บังอาจนัก ข้ากับท่านย่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้เจ้ายังไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ!”
ได้ยินเสียงไอของเซียวจวิ้นแล้ว เหล่าไท่จวินถึงกับหัวใจหดเกร็ง นางเห็นนายท่านใหญ่พูดจบแล้วจึงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เรื่องใหญ่เช่นนี้ จวิ้นเอ๋อร์คิดจะตัดสินใจด้วยตนเองหรือ จวิ้นเอ๋อร์ทำผิดธรรมเนียมแล้ว ประมุขสกุลใช่ว่าคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนกันได้ง่ายๆ เรื่องนี้จวิ้นเอ๋อร์อย่าพูดถึงอีกเลย อวิ้นเอ๋อร์บอกเจ้าแล้ว อารองของเจ้าเกิดเรื่อง เวลานี้ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น พวกเจ้าสามพี่น้องเตรียมตัวให้พร้อมและเดินทางออกจากผิงหยางภายในคืนนี้เลย เจ้าร่างกายไม่แข็งแรงก็อย่าขี่ม้า แล้วพาหมอไปด้วยคนหนึ่ง ไปซื้อยาดีจากร้านยาอี๋ชุนมาตุนไว้ให้มากหน่อย ส่วนซีเอ๋อร์ ข้ากับบิดาเจ้ายอมรับฐานะของนางนานแล้ว นางยังคงเป็นสะใภ้สกุลเซียวของข้าอยู่ บิดาและย่าของเจ้าล้วนยังไม่ตาย เรื่องหย่าภรรยาเจ้ามิอาจตัดสินใจคนเดียวได้ ตอนบ่ายก่อนออกเดินทางเจ้าเดินทางไปคฤหาสน์สกุลหลี่ด้วยตนเองเถอะ แล้วก็พาคนไปรับตัวซีเอ๋อร์กลับมา!”
เหล่าไท่จวินพูดอย่างเฉียบขาดชัดเจน น้ำเสียงก้องกังวานทรงพลังไม่เปิดพื้นที่ให้ต่อรองได้แม้แต่น้อย นางเองก็เข้าใจจิตใจกตัญญูของเซียวจวิ้น แต่ในสถานการณ์คับขันนี้มิใช่เวลาที่จะมาพูดถึงความกตัญญู เซียวจวิ้นเป็นความหวังและเป็นรากฐานของสกุลเซียว เขาจะเกิดเรื่องขึ้นไม่ได้เด็ดขาด เวลานี้นางต้องแสดงความน่าเกรงขามของผู้ใหญ่ออกมา
เห็นท่านย่าโมโห เซียวจวิ้นจึงชะงักไป เขาก็ไม่อยากขัดคำสั่งของท่านย่ากับบิดาเช่นกัน แต่เวลานี้ไม่เหมือนกับเวลาปกติ เขาเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เดิมทียังหวังเดินทางลงใต้ไปตามหาเซียนปรุงยา อีกฝ่ายจะรักษาโรคให้เขาได้ แต่พอรู้ว่าเซียนปรุงยาคือซีเอ๋อร์ เขาก็หมดความคิดที่จะขอร้องนาง