ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 5-6
ภายในห้องมีแสงแดดอบอุ่นส่อง กลิ่นเครื่องหอมอุ่นๆ ปะทะเข้ามา เตากำยานลายเป่าเซี่ยง ดอกบัวตรงมุมห้องพ่นควันม้วนตัวเป็นสายลอยอยู่กลางแสงแดด หวังเหยียนชิงเอนกายพิงเตียงห้อง ประคองเตาอุ่นมืออย่างสงบ สายตากลับกวาดมองไปในห้องเงียบๆ
หวังเหยียนชิงฟื้นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้ นางไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร ทั้งไม่รู้ว่าคนเบื้องหน้าเหล่านี้เป็นใคร ได้แต่อาศัยสัญชาตญาณดั้งเดิมที่สุด…นั่นคือการดูสีหน้า แม้เป็นคนป่าเถื่อนที่ไร้การศึกษา แต่ยามพบเจอคนแปลกหน้าก็สามารถอาศัยการมองสีหน้าวินิจฉัยได้ว่าอีกฝ่ายดีหรือร้าย หวังเหยียนชิงในยามนี้เหมือน ‘คนป่าเถื่อน’ คนหนึ่ง นางไม่เหลือความทรงจำแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่มีอคติ อาศัยเพียงเบาะแสบนใบหน้าผู้อื่นล้วนๆ ในการตัดสินว่าอีกฝ่ายมีเจตนาดีหรือร้าย
หลังผ่านมาช่วงเวลาหนึ่ง หวังเหยียนชิงแยกแยะได้แล้วว่าในห้องนี้แม้มีคนยืนอยู่มากมาย แต่ผู้ที่ตัดสินใจได้มีเพียงสองคน ชื่อหลิงหลวนและหลิงซี เมื่อครู่พวกนางพูดคุยกับหวังเหยียนชิง ถามนั่นถามนี่เหมือนไม่ตั้งใจ หญิงสาวเห็นสีหน้าของพวกนางแล้วรู้สึกได้โดยจิตใต้สำนึกว่าพวกนางมิได้พูดความจริง พอหวังเหยียนชิงเอ่ยออกมา สตรีสองคนนี้ก็เหมือนจะตกใจ จากนั้นสาวใช้ที่ชื่อหลิงซีก็เดินออกไป เหลือเพียงหลิงหลวนเฝ้าอยู่หน้าเตียง คราวนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หลิงหลวนก็ไม่ยอมปริปากพูดอีกแล้ว
กระนั้นเรื่องนี้กลับไม่ส่งผลกระทบต่อหวังเหยียนชิงในการสังเกตสีหน้าอีกฝ่าย หลิงหลวนยืนก้มหน้าประสานมืออยู่ข้างเตียง ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์แม้แต่น้อย อาศัยสิ่งนี้ปิดกั้นการมองสำรวจจากภายนอก หลิงหลวนคิดว่าตนเองปกปิดได้ดีมากแล้ว ทว่าในสายตาของหวังเหยียนชิง หลิงหลวนยังคงเหมือนหมึกดำบนกระดาษขาว มองปราดเดียวก็เห็นชัดทั้งหมด
มุมปากของหลิงหลวนเหยียดลงข้างล่าง คางเกร็งแน่นมีรอยย่นจางๆ แม้จะหลุบตา แต่หัวคิ้วตกลงมุ่นเข้าหากันน้อยๆ หวังเหยียนชิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร นางรู้สึกโดยจิตใต้สำนึกว่าการที่หลิงหลวนเม้มปากเกร็งคาง บ่งบอกว่าอีกฝ่ายกำลังกดข่มอารมณ์ของตนเอง หัวคิ้วที่มุ่นเข้าด้วยกันเล็กน้อยบ่งบอกว่าตอนนี้มีสมาธิจดจ่อมาก ทั้งยังรู้สึกเปลืองแรงหน่อยๆ หวังเหยียนชิงมองไปยังหลิงหลวน ไม่ผิดจากที่คิด สองมือของอีกฝ่ายประสานอยู่ด้านหน้า นิ้วมือถูหลังมือเบาๆ
หวังเหยียนชิงรู้สึกแปลกใจจึงเอ่ยถาม “ตอนนี้เจ้าประหม่ามากเลยหรือ”
หลิงหลวนร่างกายแข็งทื่อ การเคลื่อนไหวของนิ้วมือหายไปทันใด “เปล่าเจ้าค่ะ”
การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและสีหน้าของหลิงหลวนล้วนเล็กน้อยมาก เพียงพริบตาก็หายวับไปไม่เห็น แต่หวังเหยียนชิงยังคงสังเกตได้ เมื่อครู่ตอนนางถาม เปลือกตาของหลิงหลวนเหลือบขึ้นอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง
นางกำลังประหลาดใจ แสดงว่าหวังเหยียนชิงพูดถูก
หวังเหยียนชิงไม่เข้าใจ ทั้งที่พวกนางบอกว่ารู้จักตน แล้วเหตุใดจึงยังแสดงท่าทีประหม่าและประหลาดใจออกมาเช่นนี้ หวังเหยียนชิงจ้องหลิงหลวนอย่างละเอียด อยากมองหาเบาะแสมากกว่านี้กลับไม่รู้ว่าระหว่างที่นางสังเกตผู้อื่น ผู้อื่นก็กำลังพิจารณานางอยู่เช่นกัน
ลู่เหิงยืนอยู่นอกห้อง มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งหมด หลิงซียืนอยู่ข้างหลังอย่างนอบน้อม เอ่ยอย่างจนใจอยู่บ้าง “ผู้บัญชาการ มิใช่ว่าพวกเราไม่พยายามอย่างเต็มที่ แต่แม่นางหวังท่านนี้แปลกคนเหลือเกินเจ้าค่ะ ราวกับมีวิชาอ่านใจอย่างไรอย่างนั้น ทุกครั้งล้วนคาดเดาได้ว่าพวกเรากำลังคิดอะไรอยู่”
ลู่เหิงกอดอกด้วยท่าทางสนใจ ฟังแล้วส่ายหน้าเบาๆ “นางไม่ได้รู้วิชาอ่านใจหรอก เพียงแต่นางรู้จักอ่านสีหน้าคน”
หลิงซีสนเท่ห์ยิ่งกว่าเดิม “แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าหลิงหลวนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรเลย”
“มิใช่แค่การร้องไห้หรือหัวเราะเสียงดังเท่านั้นจึงจะเรียกว่าสีหน้าท่าทาง คนบางคนสามารถอาศัยการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของผิวหนังและร่างกายวินิจฉัยอารมณ์ความรู้สึกที่แท้จริงของผู้อื่นได้” ลู่เหิงคิดถึงสิ่งที่หวังเหยียนชิงประสบพบเจอมาแล้วก็เกิดความสงสารเวทนาอย่างหาได้ยาก “นางอายุน้อยๆ ก็บ้านแตกสาแหรกขาด หลังจากนั้นก็อาศัยชายคาผู้อื่นอยู่เป็นเวลาสิบปี บางทีความสามารถในการสังเกตสีหน้าคนคงจะฝึกฝนมาจากช่วงเวลานั้นเอง บัดนี้นางสูญเสียความทรงจำไปแล้ว แต่ยังคงหลงเหลือสัญชาตญาณอยู่”
เป็นครั้งแรกที่หลิงซีได้ยินว่ามีคนที่สามารถอาศัยสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ เดาใจผู้อื่นได้ นางขมวดคิ้ว ลำบากใจยิ่งนัก “ผู้บัญชาการ เช่นนั้นสตรีผู้นี้จะเก็บไว้หรือไม่เจ้าคะ”
ลู่เหิงฟังแล้วหัวเราะเบาๆ ก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน บุคคลที่น่าสนใจเช่นนี้ เหตุใดจะไม่เก็บเอาไว้เล่า
หวังเหยียนชิงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวที่หน้าประตูก็หันไปมองโดยไม่รู้ตัว แสงอาทิตย์ฤดูเหมันต์เจิดจ้าขาวโพลน เงาคนสายหนึ่งเดินย้อนแสงเข้ามา คล้ายเจือรัศมีพราวระยับ หวังเหยียนชิงเห็นอาภรณ์สีแดงสดของเขาแล้วพลันนึกขึ้นได้ว่านี่คือบุรุษคนเมื่อครู่
เขาเป็นใคร เหตุใดเขาจึงกลับมาอีก
ตอนฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ พวกเขาเคยพบกันแล้ว ทว่าตอนนั้นหวังเหยียนชิงไม่เห็นหน้าตาของอีกฝ่าย รู้เพียงว่าเขาสูงมาก ไหล่กว้างขายาว เป็นคนรูปร่างดีคนหนึ่ง บัดนี้เขาเดินอ้อมฉากบังตาออกมา หวังเหยียนชิงจึงพบว่าเขาไม่เพียงมีรูปร่างที่ดี ใบหน้ายังโดดเด่นอย่างยิ่ง
คิ้วกระบี่ตาดวงดาว สันจมูกสูงโด่ง รูปหน้าแคบยาว โครงหน้าเด่นชัด ท่วงท่าผึ่งผายมาก แต่ผิวพรรณกลับขาว ประกอบกับดวงตาสีอำพันที่ยามมองคนมักเปล่งประกายระยับวับวาว คล้ายมีไมตรีแต่ก็คล้ายไร้เยื่อใย ริมฝีปากบางมาก มุมปากมีรอยยิ้มแต้มอยู่คลุมเครือ ชวนให้คนเกิดความรู้สึกว่าเขาเย็นชาไร้หัวใจ
กล่าวด้วยมุมมองความงามในกองทัพ ผิวของเขาขาวเกินไป อีกทั้งเมื่อใบหน้าหล่อเหลาจึงให้ความรู้สึกพึ่งพาไม่ได้และไม่สุขุม ดูไม่เหมือนชายชาตรีในกองทัพ แต่กลับเหมือนเสือยิ้มที่คอยแทงข้างหลังผู้อื่นโดยเฉพาะ
หวังเหยียนชิงก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหตุใดนางจึงเปรียบเทียบรูปโฉมของคนผู้นี้ด้วยความคิดนี้โดยไม่รู้ตัว ต้นแบบความงามในจิตใต้สำนึกของนางเป็นใครกัน
หญิงสาวงุนงง เวลานี้เองลู่เหิงก็นั่งลงข้างเตียงของนางแล้ว ชายหนุ่มมองแววตาเลื่อนลอยและไม่เข้าใจของนาง ยิ้มพูด “น้องหญิง เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ”
น้ำเสียงของเขาใกล้ชิดและเป็นธรรมชาติ ยังเจือความไม่พอใจที่ถูกละเลยอยู่บ้าง ทำเอาทุกคนในห้องตะลึงงันไป หลิงซีและหลิงหลวนมองผู้บัญชาการอย่างตกใจ พวกนางนึกขึ้นได้ว่าหวังเหยียนชิงอ่านสีหน้าคนได้จึงรีบก้มหน้า แทบอยากจะปิดตาปิดหูของตนเองเสีย
ได้ยินคำพูดพวกนี้แล้ว ผีเท่านั้นที่รู้ว่าพวกนางยังจะมีโอกาสรอดชีวิตจนถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่
หวังเหยียนชิงกลับมิได้สังเกตหลิงซีกับหลิงหลวน ความสนใจทั้งหมดของนางไปอยู่ที่ลู่เหิง ได้ยินคำเรียกขานนี้แล้วนางก็รู้สึกขัดแย้งโดยไม่รู้ตัว “ท่านเรียกข้าว่า ‘น้องหญิง’?”
“ก็ใช่น่ะสิ” ลู่เหิงผลิยิ้ม ลูบผมนางอย่างสนิทชิดเชื้อ “เจ้าจำพี่รองไม่ได้แล้วหรือ”