ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ลูบคมองครักษ์สวมรอย เล่ม 1 บทที่ 5-6
กระทั่งชื่อของตนเองนางก็จำไม่ได้แล้ว แต่กลับไม่ลืมประจบเอาใจนายหญิงของจวนโดยสัญชาตญาณ ตลอดหลายปีมานี้สกุลฟู่ปฏิบัติต่อนางอย่างไรกันแน่ แม่นางน้อยอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง ไฉนจึงต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังถึงเพียงนี้
ลู่เหิงออกแรงกดมือนาง ใช้การกระทำให้ความมั่นใจกับนาง “ปีนี้บิดาข้าล่วงลับ พี่ชายกับมารดาล้วนกลับบ้านบรรพบุรุษไปไว้ทุกข์ เดิมทีข้าก็ต้องไปเหมือนกัน ทว่าฮ่องเต้ทรงตัดธรรมเนียมนี้ไป สั่งข้าว่าไม่ต้องไว้ทุกข์ ให้อยู่ปฏิบัติหน้าที่ในนครหลวงต่อ ข้ากับเจ้าจึงอยู่ที่นี่ ตอนนี้ในจวนสกุลลู่มีแค่พวกเราสองคน ข้ามักไม่ค่อยอยู่จวน ในจวนมีเรื่องใดเจ้าตัดสินใจเองก็พอ ไม่ต้องคิดมาก”
นี่เป็นความจริง แต่ลู่เหิงปกปิดไว้ส่วนหนึ่ง ลู่ซงเสียชีวิตในเดือนแปดปีนี้ แต่ฟู่เยวี่ยตายในเดือนสอง เวลาไม่ตรงกัน อีกทั้งคนอื่นๆ ในสกุลลู่กลับอันลู่สาเหตุมิใช่เพื่อไว้ทุกข์เสียทีเดียว เหตุผลที่มากยิ่งกว่าคือการหลบเลี่ยงภัย
ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรจะอย่างไรก็เป็นตำแหน่งที่ล่วงเกินคนอย่างมาก แม้แต่ครอบครัวของฟู่ถิงโจวยังถูกคนล้างแค้น นับประสาอะไรกับสกุลลู่เล่า ฉวยโอกาสตอนนี้ที่ฮ่องเต้ยังไว้วางใจสกุลลู่รีบจากไปเสีย หาไม่แล้วย่อมจากไปไม่ได้อีก
หวังเหยียนชิงจำเรื่องในอดีตไม่ได้ แต่สัญชาตญาณรู้สึกว่าปีนี้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่สำคัญต่อนางมากเสียชีวิต เมื่อลู่เหิงบอกว่าบิดาของเขาล่วงลับ เวลาและต้นสายปลายเหตุสอดคล้องกัน ความกังขาเสี้ยวสุดท้ายของนางจึงวางลงได้ ไม่มีความระแวงลู่เหิงอีก
หวังเหยียนชิงได้ยินว่าในจวนไม่มีนายหญิง สีหน้าก็ผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว แม้แต่น้ำเสียงก็สดใสขึ้นด้วย “ท่านป้ากับพี่ชายกลับบ้านเกิดไปไว้ทุกข์ ข้าไม่อาจอยู่ปรนนิบัติข้างกาย ช่างเป็นความผิดโดยแท้”
“เจ้าไม่ใช่สาวใช้เสียหน่อย ข้างกายมารดาไม่ขาดคนปรนนิบัติ” ลู่เหิงว่า มองนางด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “อีกอย่างข้าอยู่นครหลวงคนเดียว เจ้าคิดแต่อยากจะอยู่เป็นเพื่อนท่านป้า ไม่คิดอยากอยู่เป็นเพื่อนพี่รองบ้างหรือ”
หวังเหยียนชิงถูกเขาพูดจนหน้าแดง ใจคิดว่าพี่รองกลายเป็นคนช่างเจรจาเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อไร นางอึ้งไปเล็กน้อย รู้สึกว่าความคิดนี้ช่างประหลาด แต่เมื่อคิดทบทวนให้ดี เงาคนในความทรงจำผู้นั้นกลับยังคงเลือนราง ดูเหมือนเขาก็คือลู่เหิงนี่เอง
หวังเหยียนชิงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย บริเวณที่ถูกลู่เหิงกุมไว้คล้ายจะร้อนลวก นางเอียงหน้ารวบผม เลี่ยงการตอบคำถามนี้แล้วชวนคุยเรื่องอื่น “พี่รอง ท่านล่วงเกินใครเข้าหรือ แล้วท่านจะมีอันตรายหรือไม่”
ตนเองยังสูญเสียความทรงจำอยู่ กลับเริ่มเป็นห่วงเขาเสียแล้ว ลู่เหิงพบว่าความรู้สึกของการเลี้ยงดูน้องสาวคนหนึ่งไม่เลวเลยจริงๆ เขาหัวเราะเบาๆ “มิใช่ข้าล่วงเกินคน แต่เป็นพวกเขาต่างหากที่ล่วงเกินข้า ต่อให้พวกเขากล้าหาญเพียงใดก็ไม่กล้าลอบทำร้ายข้าหรอก ที่เจ้าเกิดเรื่องเป็นเพราะเหตุไม่คาดฝันล้วนๆ วางใจเถอะ ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว”
ตั้งแต่ลู่เหิงเข้ามาก็อมยิ้มอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอ เข้าอกเข้าใจนาง หวังเหยียนชิงจึงรู้สึกว่าเขาเป็นคนจิตใจดี จนกระทั่งบัดนี้เขาเอ่ยคำพูดเหล่านี้ด้วยรอยยิ้ม แต่ประกายในดวงตากลับสามารถสับคนจนละเอียดได้ หวังเหยียนชิงจึงพบว่าดูเหมือนชายหนุ่มจะมิได้ใจดีเฉกเช่นที่นางคิด
ในใจหวังเหยียนชิงบังเกิดความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย พี่รองโหดเหี้ยมกับผู้อื่น อ่อนโยนเฉพาะกับนางเท่านั้น หลังจากฟื้นขึ้นมานางก็จำอะไรไม่ได้เลย จำได้เพียงว่าตนมีพี่รองคนหนึ่ง เป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิต บัดนี้ได้เห็นท่าทีที่ลู่เหิงปฏิบัติต่อนางด้วยตาตนเอง ในใจหวังเหยียนชิงซาบซึ้งยิ่งกว่าเดิม นางลอบตัดสินใจว่านางจะต้องดีกับพี่รองให้มากๆ
หวังเหยียนชิงโอบกอดความคิดเช่นนี้พลางถาม “พี่รอง คนที่วางแผนทำร้ายท่านเป็นผู้ใดหรือ”
ระหว่างที่หวังเหยียนชิงพูดคุยกับลู่เหิง หลิงซี หลิงหลวน และสาวใช้คนอื่นๆ ก็ถอยไปอยู่นอกฉากบังตาอย่างรู้กาลเทศะ ยามนี้เมื่อได้ยินคำพูดนาง ในห้องเหมือนจะเงียบไปชั่วอึดใจ ต่อจากนั้นเสียงของลู่เหิงก็ดังขึ้นอย่างไม่เร็วไม่ช้า “เจิ้นหย่วนโหว ฟู่ถิงโจว”
หวังเหยียนชิงเอียงศีรษะเล็กน้อย ขบคิดถึงคนผู้นี้อย่างละเอียด แต่ในหัวยังคงว่างเปล่าขาวโพลน
ลู่เหิงจ้องตานาง เงียบไปเล็กน้อยก่อนจะย้อนถาม “ทำไม เจ้าจำเขาได้หรือ”
หวังเหยียนชิงส่ายหน้า ดวงตากระจ่างบริสุทธิ์ “ข้านึกไม่ออกแม้แต่น้อย”
ลู่เหิงมองหญิงสาว คิดในใจ ดวงตาใสซื่อเช่นนี้ บุรุษคนใดจะต้านทานได้เล่า เขาถูกหวังเหยียนชิงจ้องจนหัวใจคันยุบยิบ อยากลูบหน้านางสักทีเหลือเกิน แล้วเขาก็ทำเช่นนั้นจริงๆ “ไม่ต้องห่วง เจ้าโง่ผู้นั้นไม่มีโอกาสอีกแล้วล่ะ”
ท้องนิ้วเขาหยาบกร้านเล็กน้อย ลูบหน้าหวังเหยียนชิงจนนางรู้สึกจั๊กจี้ นางยิ้มพลางหลบ คว้ามือเขาไว้ “พี่รอง อย่าซุกซน”
ลู่เหิงมองดวงตาชุ่มชื้นเปล่งประกายของนาง แล้วหัวเราะเบาๆ
เจ้าโง่ฟู่ถิงโจวผู้นั้น ไม่มีโอกาสอีกแล้วจริงๆ
ลู่เหิงพูดคุยเป็นเพื่อนหวังเหยียนชิงพักหนึ่งด้วยสีหน้าสดชื่น อารมณ์เบิกบาน เขาอมยิ้มก่อนวางมือนางลง ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้นางแล้วลุกขึ้น “กองเจิ้นฝู่ใต้ยังมีงานอีกเล็กน้อย ข้าต้องไปก่อน คืนนี้จะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า หากรู้สึกไม่สบายที่ใดก็ตามหมอ อย่าปล่อยให้ตนเองลำบาก เข้าใจหรือไม่”
หวังเหยียนชิงได้พบพี่รองที่คะนึงหามาโดยตลอด หัวใจที่แขวนเติ่งวางลงได้ในที่สุด นางไม่รู้สึกงุนงงไร้ที่พึ่งเหมือนตอนฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ อีก นางผงกศีรษะ มองชายหนุ่มอย่างกระตือรือร้น “พี่รอง ท่านวางใจและไปทำงานเถอะ ข้าไม่เป็นไร”
ลู่เหิงกำชับนางอีกหลายคำก่อนจะเลิกม่านเดินออกไป รอจนพ้นจากเรือนของหวังเหยียนชิงแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็เลือนไปอย่างรวดเร็ว ดวงตาสาดประกายนักล่าที่เยียบเย็นปานน้ำแข็ง
บริวารรีบตามมาข้างหลัง กุมหมัดเอ่ย “ผู้บัญชาการ”
ลู่เหิงเอ่ยเสียงเรียบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “ไปสืบประวัติของหวังเหยียนชิงในช่วงหลายปีมานี้ นางเคยไปที่ใดบ้าง เคยพูดอะไรบ้าง รายงานขึ้นมาให้หมด”
“ขอรับ”
องครักษ์เสื้อแพรทำงานด้านข่าวกรอง ในแต่ละวันมีความลับนับไม่ถ้วนผ่านมือลู่เหิงไป ฟานอ๋องที่อยู่ไกลสุดหล้าฟ้าเขียวเมื่อคืนนอนกับอนุคนใด องครักษ์เสื้อแพรยังล่วงรู้ นับประสาอะไรกับเรื่องของบุตรีบุญธรรมคนหนึ่งในจวนเจิ้นหย่วนโหว
ลู่เหิงสั่งการเสร็จก็ก้าวยาวๆ ออกไปข้างนอก คนเฝ้าประตูเตรียมม้าดีไว้แล้ว ชายหนุ่มพลิกตัวขึ้นหลังม้า กุมสายบังเหียนอย่างแคล่วคล่อง เขาส่งเสียงกระตุ้นม้าหนึ่งที ริมฝีปากผุดรอยยิ้มคลุมเครือ ยิ่งคิดก็ยิ่งสนุก ฟู่ถิงโจว เรื่องสนุกเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ก.ค. 66 เวลา 12.00 น.