ในมือเยี่ยเหมยมีตำรับยาเสริมกระดูกอยู่จริงๆ ภพก่อนนางเคยมีประสบการณ์ดูแลเด็กขาดแคลเซียมคนหนึ่ง กินแคลเซียมที่ซื้อจากท้องตลาดก็ไม่มีประโยชน์ เยี่ยเหมยจึงถามผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนได้วิธีเสริมกระดูกบำรุงแคลเซียมที่ใช้เงินไม่มากแต่ดูดซับได้ค่อนข้างดีนี้มา แม้บัดนี้จะเป็นสมัยโบราณ แต่ใช้เงินนิดเดียวก็หาของที่ต้องการทั้งหมดได้ ถึงอย่างไรนางก็เพิ่มระยะเวลาที่เห็นผลให้นานขึ้นแล้ว ต่อให้ใช้ของทดแทนก็ไม่ถึงขั้นทำให้นางเสียชื่อ
เยี่ยเหมยรู้สึกว่าประสิทธิผลที่ตนเองบรรยายสมควรนับว่าตรงตามมาตรฐานแล้ว คาดไม่ถึงว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่สะใภ้ใหญ่จั่นได้ยินคนบอกว่าลูกนางยังมีทางเยียวยาอย่างมั่นอกมั่นใจเพียงนี้ อีกทั้งยังบอกกำหนดเวลารักษาหายออกมาด้วย นางจึงตะลึงงันอยู่กับที่ น้ำตาเอ่อคลอหน่วยตาทั้งสองข้าง
“แม่นางเยี่ยบอกผลลัพธ์น่าอัศจรรย์เพียงนี้ ไม่ทราบว่าเคยรักษามากี่คน” เวลานี้ที่ข้างกายสะใภ้ใหญ่จั่น นอกจากสาวใช้ประจำตัวอย่างชุนหลันกับชุนเถาแล้ว ก็ยังมีเฝิงหมัวมัวที่นางให้ความสำคัญที่สุด
เฝิงหมัวมัวเป็นแม่นมของสะใภ้ใหญ่จั่น ปีนี้อายุห้าสิบกว่าแล้ว ยามนี้นางกำลังมองเยี่ยเหมยด้วยแววตาคมปลาบ แม้ว่าได้ยินคำของเยี่ยเหมยแล้วจะรู้สึกดีใจเช่นกัน แต่นางไม่เหมือนสะใภ้ใหญ่จั่นที่ถูกเรื่องต่างๆ นานาในใจเคี่ยวกรำจนสูญเสียสติคิดวิเคราะห์ จึงโยนคำถามที่ค่อนข้างเฉียบคมออกมาทันที
“ในตำรับยาของบรรพบุรุษเคยบอกไว้ว่ารักษาคนมาหลายสิบคนแล้ว ล้วนแต่รักษาหายอย่างไม่มีข้อยกเว้น” เยี่ยเหมยเชิดหน้าตอบอย่างเด็ดขาดหนักแน่น ถึงจะไม่มี ‘ตำรับยาลับของบรรพบุรุษ’ ที่ว่า แต่นางกลับไปก็แอบเขียนออกมาได้ ใช้ถ่านไม้เขียนอักษรจีนตัวย่อเอา
“บ่าวหมายถึงว่าแม่นางเยี่ยเคยรักษาหายมากี่คน บ่าวจะให้คนไปเชิญตัวมาบอกเล่าให้สะใภ้ใหญ่ฟังสักหน่อย สะใภ้ใหญ่จะได้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ จะอย่างไรคฤหาสน์สกุลจั่นของพวกเราก็ไม่เหมือนครอบครัวชาวบ้านร้านตลาดเหล่านั้นที่กล้าให้เด็กกินของอะไรที่มีที่มาไม่แน่ชัด” แววตาจับผิดของเฝิงหมัวมัวประเมินมองเยี่ยเหมยอยู่ตลอด ถ้ามิใช่เยี่ยเหมยมีท่าทางสุขุม หนักแน่น มั่นใจในตนเองมาตลอด เกรงว่าคงถูกนางเรียกคนมาไล่ออกไปนานแล้ว
ทีนี้ก็ยอดเยี่ยม สะใภ้ใหญ่จั่นได้นางเตือน อารมณ์ก็สงบลงมาก ยกชาที่ชุนหลันยื่นส่งให้มาจิบไปคำหนึ่งก่อนเอ่ยถามเยี่ยเหมยตามคำของเฝิงหมัวมัว “หรือไม่อย่างนั้นแม่นางเยี่ยขายตำรับยาให้ข้าได้หรือไม่ บอกราคามาได้เลยไม่ต้องเกรงใจ”
ถ้าเยี่ยเหมยบอกตำรับนี้ไปก็ไม่มีค่าแม้แต่อีแปะเดียว นางยังอยากเก็บไว้เป็นของเชิดหน้าชูตายามเปิดสถานรับเลี้ยงเด็กหรือไม่ก็โรงเรียนอนุบาลในวันหน้า ถ้าให้ผู้อื่นไป นางก็หมดลูกเล่นแล้ว อีกอย่างหนึ่งในตำรับก็มีของบางอย่างที่ในสายตาครอบครัวมั่งมีเห็นว่าไร้ระดับเกินจะเอาขึ้นโต๊ะ ถ้าบอกออกไปแล้วพวกเขาไม่ให้เด็กกิน ไม่แน่อาจจะยังมาหาว่าตำรับยามีปัญหาด้วย ถึงเวลานั้นก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว
คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเหมยก็ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่ได้ คำสั่งสอนของบรรพบุรุษกล่าวว่าไว้ ‘เพียงทำยาไม่ขายตำรา มิเช่นนั้นไร้ทายาทสืบสกุล’ ข้าไม่กล้านำเด็กมาล้อเล่น อีกทั้งสะใภ้ใหญ่จั่นก็เห็นฐานะทางบ้านของข้าอยู่ ถ้ายอมใช้ตำรับยาแลกเงินก็คงไม่มาส่งรถเข็นเด็กที่คฤหาสน์ท่านแล้ว”
นางพูดขนาดนี้แล้ว สะใภ้ใหญ่จั่นที่ถือดีว่าตนมาจากตระกูลบัณฑิตมีอารยะย่อมไม่สะดวกใจจะบีบบังคับกันอีก แต่ก็ถูกต้องที่เฝิงหมัวมัวพูด ถ้ากล้าส่งของอะไรที่มีที่มาไม่แน่ชัดไปให้ชิงฮุยกินทั้งหมด ด้วยสภาพอ่อนแอของเขาในตอนนี้ก็คงทนรับไม่ไหวเด็ดขาด
สะใภ้ใหญ่จั่นอดจะขมวดคิ้วคิดไตร่ตรองอยู่ครู่ใหญ่ไม่ได้ สุดท้ายก็นึกวิธีดีๆ ออกในที่สุด “เอาอย่างนี้แล้วกัน ภายในสามวันเจ้ากับข้าต่างคิดหาวิธีหาเด็กที่มีอาการป่วยเหมือนชิงฮุยมาหนึ่งหรือสองคน ตัวยาทุกอย่างที่ต้องใช้กับชิงฮุยก็ให้เด็กผู้นั้นลองก่อน ถ้าไม่มีอันตรายค่อยใช้กับชิงฮุย เจ้าเห็นว่าอย่างไร”