เวลานี้เยี่ยเหมยเองก็หยุดเล่านิทาน อดจะนึกถึงเยี่ยหย่วนไม่ได้ ขณะช้อนตาขึ้นมองลู่เฉินก็เห็นเขาถูกลมบนผิวน้ำพัดจนตัวสั่น ท้ายเรือไม่ได้มีประทุนช่วยบังเหมือนตรงกลางเรือ ซ้ำเขายังใส่เสื้อผ้าบาง ตอนนี้เพิ่งจะผ่านมาได้ครึ่งทาง กว่าจะถึงจุดหมายเขาไม่เป็นหวัดไปก็แปลกแล้ว
คิดถึงตรงนี้ เยี่ยเหมยก็บอกให้ภรรยาต้าเหอขยับเว้นที่ว่าง “ท่านลู่ ผิวน้ำลมแรง เชิญเข้ามานั่งคุยกันข้างในเถิด”
ลู่เฉินได้ยินดังนั้นก็มองเยี่ยเหมยปราดหนึ่งอย่างรวดเร็ว ปกติสอนหนังสืออยู่ที่สำนักศึกษาปั้นซานก็ยังต้องติดต่อกับครอบครัวลูกศิษย์เป็นครั้งคราว แต่ไม่มีหญิงสาวชนบทคนใดที่มีลักษณะท่าทางอ่อนหวานและความคิดความอ่านเฉียบแหลมได้อย่างเยี่ยเหมย ทั้งสามารถพูดเหตุผลให้บุตรชายเขาฟังจนเข้าใจด้วยภาษาเรียบง่าย ทั้งสามารถสังเกตเห็นอาการไม่สบายของเขาได้
ลู่เฉินเพิ่งจะมองเยี่ยเหมยอย่างตั้งใจจริงๆ ในเวลานี้เอง การมองคราวนี้ทำให้เขารู้สึกว่าเยี่ยเหมยไม่เหมือนหญิงสาวชนบทจริงๆ มีหญิงสาวชนบทที่ไหนบ้างที่ผิวพรรณขาวผ่อง หน้าตางดงามละมุนละไมได้เช่นนี้
เขามาอยู่เมืองเซิ่งโจวได้หลายปี ย่อมจะรู้ว่าชาวบ้านท้องที่นี้เรียบง่ายไม่มีพิธีรีตอง ชายหญิงมิได้ถือเนื้อถือตัวกันเท่าเมืองหลวง เป็นชนบทห่างตัวเมืองยิ่งไม่มีอะไรต้องพิถีพิถัน ดังนั้นหลังลังเลเพียงเล็กน้อยก็ยกชายชุดไปนั่งลงตรงที่ว่างที่ภรรยาต้าเหอขยับแบ่งให้
“ผู้น้อยมีลูกศิษย์คนหนึ่งนามว่าเยี่ยหย่วน ด้วยความรู้ของเขา พวกท่านอาจจะเคยได้ยินชื่อมาบ้าง…” ในใจลู่เฉินคิดว่าตำบลหยางหลิ่วมีขนาดไม่ใหญ่ หนุ่มน้อยที่สอบได้ถงเซิงตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบสองอย่างเยี่ยหย่วนสมควรจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง บางทีตอนนี้อาจจะถามได้ที่อยู่ ถึงเวลานั้นก็ประหยัดแรงในการหาเขาไปได้บ้าง
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะพูดได้ครึ่งเดียว เยี่ยเหมยกับภรรยาต้าเหอกลับเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
เยี่ยเหมยยิ่งส่งเสียงถามด้วยความประหม่ากังวล “ท่านหาเยี่ยหย่วน? มีธุระใดหรือ” สายตาจับจ้องใบหน้าลู่เฉินนิ่งงัน
ลู่เฉินถูกนางมองจนใบหน้าขาวสะอาดขึ้นสีเลือดฝาด “ผู้น้อยสอนอยู่ที่สำนักศึกษาปั้นซานมาสี่ปีกว่า แต่เป็นครั้งแรกที่ได้พบลูกศิษย์ที่มีพรสวรรค์ขนาดเยี่ยหย่วน เดิมคิดจะให้เขาลองลงสนามสอบฤดูใบไม้ร่วงนี้ดูว่าจะสอบได้ซิ่วไฉหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าหลังปีใหม่ไม่เห็นเขามาเรียน ผู้น้อยไม่รู้ว่าเขาเปลี่ยนสำนักศึกษาหรือมีสาเหตุอย่างอื่น อย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้จึงจะสบายใจ”
“อาหย่วนจะสอบซิ่วไฉ?!” ตอนที่เยี่ยเหมยได้ยินเยี่ยหย่วนกับท่านสามเกาคุยถึงคุณชายสุยเฟิงที่ความรู้ความสามารถน่าตื่นตะลึงก่อนหน้านี้ แม้จะรู้สึกถึงสีหน้าอิจฉาของเยี่ยหย่วนได้ แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าเขาอายุยังน้อยก็สามารถจะสอบซิ่วไฉได้แล้ว
“ใช่แล้ว เยี่ยหย่วนมีพื้นฐานสี่ตำราห้าคัมภีร์แน่นอยู่ก่อน หลังมาสำนักศึกษาปั้นซานยิ่งขยันไม่เคยหยุดเรียน เขามีพรสวรรค์ในการเรียนสูงอย่างที่สุด” พูดถึงลูกศิษย์คนโปรด รอยยิ้มบนหน้าลู่เฉินก็ยิ่งกว้างขึ้น เยี่ยเหมยไม่เหมือนหญิงสาวชนบทจริงๆ เขาสามารถพูดกับนางได้สบายๆ ไม่ต้องคอยอธิบายให้มากความ
“อาเหมย เมื่อครู่ท่านลู่ว่าอะไรนะ เขาว่าอาหย่วนสามารถเข้าสอบซิ่วไฉหรือ สวรรค์ ในบ้านข้ามีซิ่วไฉอาศัยอยู่!” คราวนี้ภรรยาต้าเหอที่เข้าใจตามไม่ทันตระหนักได้แล้วว่าท่านลู่พูดอะไร จึงตื่นเต้นจนแทบจะลุกขึ้นยืน แต่ฉับพลันนั้นก็นึกสถานการณ์ของเยี่ยเหมยสองพี่น้องขึ้นได้อีก จึงนั่งกลับลงไปใหม่ด้วยท่าทางสลดหดหู่ “เฮ้อ อาหย่วนช่างดีต่อพี่สาวอย่างเจ้าจริงๆ อยู่ที่บ้านมีคนส่งเสียให้เขาเรียนหนังสือเป็นเรื่องที่ดีเพียงไร กลับแล่นมาอยู่ข้างนอกเพื่อเจ้า บัดนี้ใครจะส่งเสียให้เขาเรียนต่อได้”