เยี่ยเซิ่งมองเยี่ยเหมยปราดหนึ่งแล้วพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ “ครึ่งปีก่อนตอนนางลูกคนนี้ถึงวัยปักปิ่นทางตระกูลอี๋เหนียงสามใช่ช่วยเป็นสื่อจัดการหมั้นหมายให้นางหรือไม่ อี๋เหนียงสาม แจ้งให้ท่านแม่เจ้าเดินทางมาสักหน่อยและหาวันให้นางแต่งออกไป”
“นายท่านเจ้าคะ ท่านทำเช่นนี้ต้องการจะให้ตระกูลข้าอยู่ที่หมู่บ้านอู๋จยาต่อไปไม่ได้ใช่หรือไม่” ขณะพูดถึงหมู่บ้านอู๋จยา อี๋เหนียงสามก็เหลือบมองเยี่ยเหมยแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อพบว่าสีหน้านางไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ยกยิ้มมุมปากน้อยๆ มั่นใจว่านางเด็กอ่อนแอนี่ไม่กล้าพูดอะไรเช่นกัน
ครั้นได้ยินเช่นนี้ เยี่ยเซิ่งก็เงียบไป คิดดูก็เห็นจริง ทางฝ่ายชายจะต้องรู้เรื่องนี้แล้วแน่นอน หลังเกิดเรื่องคนทางบ้านอี๋เหนียงสามยากจะวางตัวถูกจริงๆ
ดวงตาเล็กๆ ของเยี่ยเซิ่งกลอกไปมา “เช่นนั้นจะทำอย่างไร ถอนหมั้นไหนเลยจะมิต้องคืนสินสอดของหมั้นให้อีกฝ่ายไป” เขาลูบคางที่เต็มไปด้วยไขมัน สุดท้ายก็หักใจ “ช่างเถอะ ถือว่าข้าไม่มีลูกสาวคนนี้แล้วกัน”
ชีวิตคนเราก็พลิกผันอย่างหนักเช่นนี้! เยี่ยเหมยนึกในใจว่าหรือตนเองจะเป็น ‘ดาวกำพร้า’ ในตำนาน
ชาติก่อนโดดเดี่ยวเดียวดายจนตายก็ช่างเถอะ แต่ชาตินี้ได้เห็นแล้วว่ามีมารดาที่แม้จะอ่อนแอแต่กลับรักใคร่เอ็นดูตนเอง และน้องชายที่ขี้อายปากหนักอย่างที่สุดแต่ก็เป็นห่วงเป็นใยตนเองเพิ่มมา ทว่ายังไม่ทันได้เสพสุขกับการมีครอบครัวก็ถูกบิดาบังเกิดเกล้าไล่ออกจากบ้านแล้ว
ถูกต้อง หลังคิดคำนวณอย่างคนเป็นพ่อค้าแล้ว เยี่ยเซิ่งก็ตัดสินใจไล่เยี่ยเหมยออกจากบ้าน พร้อมทั้งให้อี๋เหนียงสามแจ้งคู่หมั้นของเยี่ยเหมยให้มาถอนหมั้นโดยเร็วที่สุด
อี๋เหนียงสี่เป็นสตรีอ่อนแอขี้ขลาดจึงเป็นลมไปทันที สุดท้ายยังคงเป็นฮูหยินที่ผ่อนปรน ให้เวลาเยี่ยเหมยสามวันเพื่อเก็บข้าวของ
วันรุ่งขึ้นเยี่ยเซิ่งกับฮูหยินจากไปตั้งแต่เช้าตรู่ และเพื่อกันไม่ให้อี๋เหนียงสี่ทำการขัดขวางอีก จึงให้บ่าวหญิงรูปร่างกำยำล่ำสันสองคนคุมตัวนางกลับตำบลหยางหลิ่วไปด้วยกัน อี๋เหนียงสามกลับอาสารั้งอยู่ ‘คุม’ เยี่ยเหมย พร้อมทั้งจัดการเรื่องทางด้านสกุลพานอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำเอาเยี่ยเซิ่งเอ่ยปากชมนางไปหลายประโยค
เปลี่ยนวิญญาณใหม่แล้ว เยี่ยเหมยย่อมจะไม่ได้ร้องห่มร้องไห้จะเป็นจะตายเหมือนที่ผู้อื่นคิดไว้ และยิ่งไม่ได้โขกศีรษะร่ำร้องขอให้ใครช่วย แต่หิ้วห่อผ้าที่เมื่อวานอี๋เหนียงสี่นำมาให้เดินออกจากเรือน
ยามนี้เป็นเวลาปลายเดือนหนึ่ง ออกห่างเตียงเตาอันอบอุ่นมาอยู่ข้างนอก เยี่ยเหมยก็เริ่มทนไม่ไหว สั่นหงึกหงักไปทั้งตัว
คิดไม่ถึงว่านางยังไม่ทันก้าวออกประตูเรือนก็มีเสียงร้องตะโกนลอยมาจากด้านนอก “ไม่มีใครอยู่หรือ”
คฤหาสน์ริมบึงน้ำดำนี้มีขนาดไม่ใหญ่ หรือก็หมายความว่าผู้คุมงานจากสกุลเยี่ยจะมาพักเป็นเวลาไม่กี่วันก่อนหน้าและหลังการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง บ่าวหญิงที่คอยช่วยงานล้วนเป็นภรรยาของชาวไร่ชาวนาผู้เช่าที่ เช้านี้ฮูหยินพาบ่าวหญิงที่ตามมาจากสกุลเยี่ยกลับไป ในคฤหาสน์เวลานี้จึงเหลือเพียงเยี่ยเหมยกับอี๋เหนียงสามและบ่าวหญิงอายุราวสามสิบหนึ่งคน พร้อมทั้งบ่าวหญิงที่มาทำความสะอาดอีกไม่กี่คนเท่านั้น
เพียงไม่นานในเรือนก็มีสตรีวัยกลางคนที่มีท่าทางโอหังดุร้ายเพิ่มมาหนึ่งคน รวมถึงชายหนุ่มที่กวาดตามองไปทั่วอีกผู้หนึ่ง ขณะมองเห็นเยี่ยเหมย ดวงตาของบุรุษผู้นั้นก็สว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย ผิวปากเสียงดังกังวานให้นาง ทั้งยังแสยะยิ้มลามกเต็มหน้า
แม่ลูกคู่นั้นเข้าประตูมาก็ถูกเยี่ยเหมยที่หิ้วห่อผ้าใบใหญ่ไว้ทำให้ตกใจเช่นกัน แต่จากนั้นสายตาของสตรีวัยกลางคนก็เปลี่ยนไปทันที “นางหญิงใจง่ายหน้าไม่อายนี่ ทำเรื่องน่าอับอายเช่นนั้นออกมา ไม่เอาตัวเข้ากรงหมูถ่วงน้ำ แต่ยังมีหน้ามาอยู่ในบ้านต่ออีก ถ้าสกุลพานของพวกข้าไม่ได้ยินเรื่องนี้ พวกเจ้าก็คิดจะสวมเขาพานหลินของพวกข้าใช่หรือไม่ ถุย!”
สกุลพานอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านอู๋จยาห่างจากตำบลหยางหลิ่วไปราวเจ็ดแปดลี้ พานหลินก็คือคู่หมั้นที่ก่อนหน้านี้ทางบ้านอี๋เหนียงสามจัดการหมั้นหมายให้เยี่ยเหมย