เยี่ยเหมยยื่นมือไปรับปิ่นนั้นมาเสียบแทนปิ่นไม้สลักลายบนศีรษะ ก่อนยกยิ้มมุมปาก “เช่นนั้นถ้าข้าปฏิเสธก็เป็นการไม่เคารพแล้ว ทว่าต้องขอพูดตามตรง ที่เมื่อครู่นี้ท่านหมอบอกให้นำถั่วลิสงกับผลเหอเถาให้เด็กกิน นั่นเป็นการบำรุงเถี่ยกับซิน แต่อันที่จริงเด็กวัยนี้ควรต้องเน้นบำรุงไก้ ให้กินของเสริมสร้างกระดูกอย่างพวกน้ำแกงต้มกระดูก ถั่วเหลือง เต้าหู้ให้มาก”
รับของผู้อื่นมาแล้ว เยี่ยเหมยก็รู้สึกว่าต้องพูดอะไรสักหน่อย เด็กคนนี้สองขวบได้แล้วกระมัง ดูเหมือนจะยังเดินไม่ได้ ถ้ายังอุ้มอยู่ตลอดเช่นนี้คงได้เป็นง่อยกันพอดี
ใครเลยจะรู้ว่าเยี่ยเหมยเพิ่งจะพูดจบ พี่วั่นที่อุ้มเด็กอยู่จะเบ้ปากพึมพำเบาๆ “มีของดีอะไรที่สกุลจั่นไม่มีบ้าง กลับจะให้เด็กไปแทะกระดูก? เต้าหู้เป็นของราคาถูกที่ชาวบ้านสามัญชนกินกัน คุณหนูเล็กสูงศักดิ์เช่นนี้ไหนเลยจะเอาเข้าปากลง”
“หุบปาก! ชุนเถา อุ้มคุณหนูเล็กมา พวกเรากลับคฤหาสน์ ชุนหลัน กลับไปเดี๋ยวบอกหยางหมัวมัวด้วยว่าแม่นมสองคนนี้ไม่เหมาะสมจะให้ดูแลคุณหนูเล็กแล้ว ขายออกไปเสียทั้งสองคน!” สตรีสูงศักดิ์สีหน้าเข้มขึ้น กล่าวจบก็พยักหน้าให้เยี่ยเหมยน้อยๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกจากโรงรับจำนำพร้อมกับชุนหลันที่เพิ่งเข้าประตูมา
ชุนเถาเดินตามอยู่ด้านหลังสตรีสูงศักดิ์ ทำยืดคอแค่นเสียงออกจมูกข่ม แม่นมทั้งสองคนมีท่าทางดั่งเสียบุพการี แต่ด้วยรู้นิสัยใจคอของสตรีสูงศักดิ์ดี จึงได้แต่เดินหน้าสลดตามหลังไป
“ข้าก็บอกแล้วมิใช่หรือว่าไส้แห้งก็ยังดีกว่าเป็นบ่าวรับใช้ผู้อื่น” เยี่ยเหมยเห็นแม่นมทั้งสองกำลังจะก้าวข้ามธรณีประตูก็พลันพูดขึ้นอย่างเย็นเยียบ เห็นเพียงฝีเท้าสตรีทั้งสองชะงักไป ตัวหวิดจะพุ่งล้ม นางก็อดจะปิดปากหัวเราะไม่ได้
“อาหย่วน พี่รองแก้แค้นให้เจ้าแล้วนะ”
“พี่รอง ท่านรู้วิธีช่วยชีวิตเด็กคนนั้นได้อย่างไร” เยี่ยหย่วนไม่สนใจเยี่ยเหมย แต่จ้องตาของนางตรงๆ พลางเอ่ยถาม เยี่ยหย่วนที่ยังอายุไม่เต็มสิบสามมีความสูงเท่าเยี่ยเหมยแล้ว บนใบหน้าอ่อนเยาว์กลับมีคำว่า ‘สงสัย’ เขียนอยู่เต็ม
“เจ้าไม่รู้หรือ” เยี่ยเหมยใจกระตุกวาบ นึกขึ้นได้ว่าที่นี่มิใช่สถานที่ที่เหมาะแก่การคุย หลังย้อนถามเสร็จก็พลันเบี่ยงประเด็น “แค่เห็นสาวใช้สองคนนั้นผลัดกันอุ้มเด็กก็รู้สึกเหนื่อยแทนแล้ว ในเมื่อเดินไม่ได้ก็เอารถเข็นเด็กมาเข็นสิ ถ้าไม่ได้จริงๆ ถนนในเมืองออกจะเรียบขนาดนี้ ใช้รถหัดเดินมาให้เด็กเดินเองก็ได้”
“รถอะไร” ความสนใจของเยี่ยหย่วนถูกเบนออกไปชั่วคราวอย่างที่คิดไว้ แต่ก็ยิ่งงุนงงสนเท่ห์กว่าเก่า “รถเข็นเด็กกับรถหัดเดินที่ท่านว่าคืออะไรกัน ไฉนข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“ไม่เคยได้ยินได้อย่างไร ครอบครัวที่มีลูกก็มีกันทั้งนั้น” เยี่ยเหมยจ้องมองนายบ่าวไม่กี่คนที่จากไปไกลแล้ว ในใจกำลังนึกถึงเด็กผู้หญิงตัวขาวจ้ำม่ำเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบคนนั้นจึงใจลอยไปชั่วขณะ เผลอหลุดปากพูดเรื่องในหัวออกมา หารู้ไม่ว่ากลายเป็นทำให้คนในโรงรับจำนำจำนวนมากกว่าเก่าข้องใจ
“ก่อนข้าจะมาเป็นหลงจู๊โรงรับจำนำรุ่ยจี้แห่งเมืองเซิ่งโจวเคยตระเวนไปทั่วสารทิศ สามารถนับได้ว่ามีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง แต่ก็ไม่เคยได้ยินหรือได้เห็นรถอะไรที่แม่นางน้อยพูดถึงเช่นกัน”
ก่อนหน้านี้ในโรงรับจำนำรุ่ยจี้มีเพียงลูกจ้างเล็กๆ คนหนึ่งนั่งอยู่หลังโต๊ะกั้น ถั่วลิสงที่เด็กผู้หญิงกินก่อนหน้านี้เป็นของที่ทางร้านมีไว้ให้แขกที่เป็นบุคคลใหญ่โต ตอนที่ถั่วติดคอเด็กผู้หญิง ลูกจ้างก็ตกใจแทบแย่ ตาลีตาเหลือกเปิดประตูข้างในออกไปเรียกหลงจู๊ที่อยู่เรือนด้านหลังให้ออกมา
ขณะหลงจู๊มาถึงก็ได้เห็นเยี่ยเหมยแสดงฝีมือช่วยเด็กพอดี ถ้ามิใช่ได้เห็นด้านสุขุม ใจเย็น มีความรับผิดชอบของเยี่ยเหมยมาก่อน หลงจู๊ท่านนี้ก็ไม่มีทางเอ่ยปากพูดคุยกับแม่นางน้อยที่สวมชุดเก่าขาดนางหนึ่ง