แม้ว่าระหว่างนั้นมารดาได้สิ้นใจจากไป หญิงรู้ใจก็แต่งงานออกเรือน ในสายตาผู้อื่นเห็นว่าเป็นเรื่องที่เพียงพอจะเปลี่ยนแปลงท่าทีในชีวิตคนเราได้ แต่เขาก็เพียงลอบประกอบพิธีเซ่นไหว้มารดาเงียบๆ แล้วเลือกใช้ชีวิตบนเส้นทางที่ท้าทายกว่าเดิมต่อไป เพื่อการนี้ยังยินยอมสละเกียรติยศความมั่งคั่งที่กองอยู่ตรงหน้า ทำให้คนคิดว่าเขาล่วงเกินผู้มีตำแหน่งมีอำนาจจนไม่อาจเข้าสอบ
นับตั้งแต่นั้นเบื้องหน้าเขาทำเป็นว่าออกท่องใต้หล้า เบื้องหลังกลับทำงานสังเกตการณ์สภาพความเป็นอยู่ของราษฎรแทนองค์จักรพรรดิและคอยร้องทุกข์แทนราษฎร ที่น่าแค้นใจกว่านั้นคือโชคของคนผู้นี้ช่างดีเกินไปโดยแท้ ออกท่องใต้หล้ากลับยังไปพบเจออาจารย์ที่มีวรยุทธ์สูงส่งจนได้ร่ำเรียนวิชายุทธ์สุดวิเศษ ถ้าเขาจะแสดงฝีมือจริงๆ ตำแหน่งจ้วงหยวนฝ่ายบู๊อาจจะถูกเขาคว้าไปได้ง่ายๆ อีกเช่นกัน
เดิมทีคราวนี้องค์จักรพรรดิคิดจะหาข้ออ้างให้เขากลับบ้านเกิดพร้อมตำแหน่งขุนนาง แต่เขาก็ไม่รู้เกิดนึกอะไรขึ้นมา จะรอไปอีกพักหนึ่งให้ได้ ตอนนี้พอใจแล้วกระมัง จึงถูกองค์จักรพรรดิโยนทิ้งมาให้องค์รัชทายาทแล้ว
อัครมเหสีสวรรคตไปนานแล้ว รัชทายาทล้วนแต่ปราศจากอำนาจไม่ว่าจะจากตระกูลพระมารดาหรือตระกูลชายา จึงยิ่งถูกองค์ชายสามผู้มีอำนาจกล้าแข็งบีบจนต้องไปอยู่ไกลถึงชายแดน ต้องสร้างความดีความชอบในการศึกให้ได้ถึงจะสามารถทำให้ฐานะรัชทายาทมั่นคง หรือแม้แต่กดหัวองค์ชายสาม
จั่นอวิ๋นหยางกับกู่จวิ้นได้รับคำสั่งให้รวบรวมเสบียงอาหารในสามเมืองหน้าด่านชายแดนให้รัชทายาท เมืองเซิ่งโจวเป็นบ้านเกิดของจั่นอวิ๋นหยาง รัชทายาทใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชาคนสนิทที่แสนเยือกเย็น ทั้งยังฉลาดเจ้าแผนการผู้นี้เป็นพิเศษ จึงให้เขามารับและคุมเสบียงไปส่ง
ทว่าชื่อจั่นอวิ๋นหยางโด่งดังในเมืองเซิ่งโจวเกินไป ดังนั้นผู้ที่ออกหน้าคุมส่งเสบียงจึงยังคงเป็นผู้บัญชาการลำดับรองขั้นห้าอย่างกู่จวิ้น ส่วนเขาก็สามารถถือโอกาสอันหาได้ยากนี้กลับไปเยี่ยมบ้าน เพียงแต่เรื่องที่กู่จวิ้นคิดไม่ตกคือเวลานี้เหตุใดเขาจึงไม่กลับบ้านแต่กลับมาหาตนเอง
กู่จวิ้นที่คิดเข้าข้างตนเองคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิงว่าจั่นอวิ๋นหยางเดิมทีคิดจะกลับคฤหาสน์ เพียงแต่ได้พบเยี่ยเหมยเข้าเลยเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน เดินมาถึงที่นี่แทน
“เจ้าเมืองอวี๋กลั่นแกล้งเจ้าบ้างหรือไม่” จั่นอวิ๋นหยางขมวดคิ้วมองการเปลี่ยนแปลงของสีหน้ากู่จวิ้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร เขากระแอมไอหนักๆ สองทีเพื่อดึงความคิดของกู่จวิ้นกลับมา ก่อนเปลี่ยนมาถามเรื่องเป็นการเป็นงาน
“นายน้อยจั่น เจ้าอย่าลืมว่าหนึ่งชั่วยามก่อนเจ้ากับข้าเพิ่งจะเข้าประตูเมืองเซิ่งโจวมา ข้ายังไม่ทันไปจวนว่าการเจ้าเมืองเลย” กู่จวิ้นสูดหายใจเย็นเยียบ เขารู้ว่าจั่นอวิ๋นหยางทำงานได้มีประสิทธิภาพอย่างที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรีบร้อนเพียงนี้เลย มาเมืองเซิ่งโจวคราวนี้มีเวลาให้ตระเตรียมตั้งหลายวัน
“เจ้าก็รู้เหมือนกันหรือว่าผ่านมาหนึ่งชั่วยามแล้ว” จั่นอวิ๋นหยางกวาดตามองกู่จวิ้นอย่างเดียดฉันท์ปราดหนึ่ง “ก่อนหน้านี้ข้าพูดกับเจ้าแล้วว่าเจ้าเมืองอวี๋ผู้นั้นโลภมากเห็นแก่ได้ ทั้งยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าเจ้าไปหาจะต้อง…”
แม้จั่นอวิ๋นหยางจะดูคร่ำครึและเคร่งครัดจนแปลกจากคนทั่วไป แต่อันที่จริงเป็นคนจัดการเรื่องราวได้มีน้ำอดน้ำทนยิ่งยวด เขาร่ายสอนกู่จวิ้นว่าจะเจรจากับเจ้าเมืองอวี๋อย่างไร พร้อมทั้งกำชับกำชาเรื่องที่ต้องระวังในการทำงานที่เมืองเซิ่งโจวอีกมากมายเสร็จถึงได้ลุกขึ้นเดินลงข้างล่าง เตรียมจะกลับคฤหาสน์สกุลจั่นทางทิศใต้ของเมือง
ครั้นลงมาถึงชั้นล่าง สายตาก็เลื่อนไปมองทางโรงหมอ หยุดฝีเท้าอยู่เป็นนานถึงค่อยหมุนกายเดินจากไปโดยไม่ลังเลอีก
เขาเป็นคนที่ควบคุมตนเองได้ดี ถึงจะมีหลุดการควบคุมไปชั่วครู่ แต่ก็ยังดึงตนเองกลับสู่ภาวะปกติได้อย่างรวดเร็ว ความเป็นห่วงเป็นใยที่มีต่อเยี่ยเหมย เขาได้ข้อสรุปว่าเป็นความสนใจที่เกิดขึ้นมาชั่วขณะ แต่ในเมื่อยามนี้มีเรื่องเป็นการเป็นงานต้องทำ เช่นนั้นความสนใจก็วางเอาไว้ก่อนได้