นางเกือบจะตะโกนด่าทอเขาอยู่แล้ว ในใจโกรธเคืองจนเก็บไม่อยู่ แต่พอถึงเวลาซักถามต่อหน้าเช่นนี้ก็ยังรู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก
ลู่อู๋เซิงเห็นนางขอบตาแดงเรื่อ จึงอธิบายอย่างช้าๆ ว่า “ตอนนั้นข้าอยากพบเจ้าเช่นกัน แล้วก็ไม่เคยส่งจดหมายตัดสัมพันธ์ นอกจากจะไม่ได้พบเจ้าแล้ว ข้ายังรับจดหมายตัดสัมพันธ์ที่เจ้าส่งมาให้ฉบับหนึ่งด้วย”
ลมหนาวโชยพัดมา หัวใจของคนทั้งสองคล้ายถูกน้ำแข็งผนึกไว้ ดวงตาสองคู่สบประสาน ชั่วขณะนี้ไม่ต้องมีคำอธิบายใด เพียงแค่ไม่กี่ประโยค ทุกอย่างก็กระจ่างชัด
พวกเขาทั้งสองถูกคนยุแยงให้แตกหักกันนี่เอง!
อวิ๋นจ้าวมีสีหน้าสับสน ทั้งยังมีท่าทีไม่เชื่อถืออยู่บ้าง “ข้าไม่ได้เขียนจดหมายตัดสัมพันธ์ให้ท่าน แต่ท่านเขียนให้ข้าชัดๆ ลายมือในจดหมายเป็นของท่าน ข้าไม่มีทางจำลายมือท่านผิดแน่”
“ตอนที่ข้าได้รับจดหมายของเจ้า ก็เคยสงสัยว่าของจริงหรือของปลอม แต่เจ้ายืนกรานไม่ยอมพบหน้า อีกทั้งลายมือนั้นก็เป็นของเจ้าจริงๆ”
อวิ๋นจ้าวตกตะลึง สมองปั่นป่วนวุ่นวาย ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นบุรุษตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่ง นางเงยหน้าขึ้นมอง คิดจะขยับถอยหลังโดยไม่รู้ตัว แต่กลับถูกเขาคว้ามือเอาไว้
เพราะยืนตากลมภูเขาอยู่นาน และไม่มีเตาอุ่นร้อนถือไว้ มือที่ยื่นมาเกาะกุมจึงเย็นเฉียบ อวิ๋นจ้าวไม่ได้สะบัดทิ้ง เพราะมือของนางอุ่นมาก จึงอยากถ่ายเทไออุ่นเผื่อไปถึงเขาบ้าง
“อวิ๋นอวิ๋น เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ตอนนั้นใครเป็นผู้เสนอตัวเป็นคนกลางคอยประสาน ใครเป็นคนพูดเรื่องพวกนั้นด้วยตัวเอง และใครที่คอยส่งจดหมายให้พวกเรา”
อวิ๋นจ้าวหลุดปากออกมาว่า “ซ่งโหย่วเฉิง”
ลู่อู๋เซิงพยักหน้ารับอย่างจริงจัง เขาก็ไม่อยากสงสัยสหายร่วมสำนักเท่าไรนัก แต่ความจริงมากองอยู่ตรงหน้า เขาไม่เชื่อไม่ได้จริงๆ
ทันใดนั้นนางก็นึกถึงสิ่งที่ซ่งโหย่วเฉิงบอกกับนางตอนอยู่ในหอสุรา นำเบาะแสแต่ละเรื่องมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ไม่มีช่องโหว่เลยแม้แต่น้อย
ตอนแรกซ่งโหย่วเฉิงนัดนางไปที่ร้านหนังสือเปิดใหม่ บอกว่าร้านนี้มีหนังสือที่นางตามหามานานแล้ว แต่เมื่อไปถึงกลับเห็นลู่อู๋เซิงกับสตรีนางหนึ่งเดินเข้าร้านเครื่องประดับข้างเคียง นางหงุดหงิดอารมณ์เสียอยากจะเดินปรี่เข้าไปถามให้รู้เรื่อง ทว่าซ่งโหย่วเฉิงกลับรั้งนางเอาไว้ บอกว่านางเดินเข้าไปถามโดยตรงจะทำให้ชื่อเสียงมัวหมอง นางก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสมเช่นกัน ตั้งใจว่ารอให้ลู่อู๋เซิงกลับบ้านแล้ว ค่อยนัดเขาออกมาอีกครั้ง
ไหนเลยจะคิดว่าซ่งโหย่วเฉิงที่เป็นคนนัดให้ กลับมาบอกนางว่าลู่อู๋เซิงไม่อยากพบหน้า นางโมโหอย่างมาก ทว่าในใจก็ยังคิดถึงเขาอยู่ตลอด ถึงขั้นวิ่งไปดักรอเขาที่หน้าประตูจวน แต่เขากลับไม่ออกมาพบ ตอนนั้นนางยังคิดว่าจะต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ แล้วอยู่ดีๆ ก็ได้รับจดหมายตัดสัมพันธ์จากเขา ถ้อยคำในจดหมายเย็นชาจนทำให้รู้สึกตกตะลึง
วันนี้ได้ถามต่อหน้าจนกระจ่างแล้ว อวิ๋นจ้าวจึงเข้าใจว่าเป็นซ่งโหย่วเฉิงที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง หรือก็คือลู่อู๋เซิงไม่ได้เขียนจดหมายฉบับนั้นมาให้นาง
น้ำแข็งในใจนางยังละลายไม่หมดสิ้น มีอีกเรื่องที่นางวางไม่ลง “ต่อให้เรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของซ่งโหย่วเฉิง แต่ท่านจูงมือสตรีนางนั้นเข้าร้านเครื่องประดับ ข้าเห็นมากับตาตนเอง เรื่องนี้เขาคงบงการท่านไม่ได้กระมัง”
ลู่อู๋เซิงส่ายหน้า “นางคือญาติผู้น้องของข้า อีกอย่างข้าไม่ได้จูงมือนางเสียหน่อย แต่ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบาดแผลให้ต่างหาก และที่เดินเข้าร้านนั้นก็เพราะหลงจู๊ของร้านเป็นสหายสนิทของท่านพ่อข้า ละแวกใกล้เคียงไม่มีร้านยา จึงต้องเข้าไปหายารักษาบาดแผลให้นางก่อน”
สีหน้าอวิ๋นจ้าวมีความประหลาดใจฉายชัด ทั้งยังรู้สึกไม่เชื่อถืออยู่บ้าง พอลู่อู๋เซิงนึกถึงสาเหตุของความเข้าใจผิดแล้ว แววตาก็หม่นแสงลง “วันนั้นนางเดินทางมาจากต่างเมืองเพื่อมาเยี่ยมถึงที่บ้าน ข้าก็เลยต้องออกไปรับ ไม่คิดว่าจู่ๆ จะมีชายขี้เมาคนหนึ่งพุ่งเข้ามาทำร้ายนางจนบาดเจ็บ ตอนนั้นเห็นชายขี้เมาวิ่งหนีคล่องปร๋อ ข้ายังแปลกใจว่าดื่มจนเมามาย แต่ไฉนกลับวิ่งหนีรวดเร็วยิ่ง วันนี้มาคิดดูแล้วคงมีคนเตรียมการเอาไว้ก่อน และตอนที่ญาติผู้น้องส่งจดหมายมานั้น ซ่งโหย่วเฉิงก็บังเอิญเป็นแขกที่บ้านข้าพอดี”
“ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย” อวิ๋นจ้าวจมอยู่ในความคิด ตอนนั้นนางโมโหลู่อู๋เซิงจึงหลบเลี่ยงไม่พบหน้าเขา ทุกครั้งที่เขามาหาก็จะให้บ่าวไพร่ตอบปฏิเสธไป
จนกระทั่งครึ่งปีนับจากนั้น แม่ทัพลู่ต้องยกทัพเดินทางไกล ลู่อู๋เซิงก็ติดตามกองทัพใหญ่จากไปด้วย คอยรักษาการณ์อยู่ชายแดนกว่าสิบปีเต็ม ภายหลังสิบปีต่อมากลับถึงเมืองหลวง คนทั้งสองเพิ่งจะพบหน้าก็มีอันต้องแยกจากกันคนละภพเสียแล้ว
พอคิดถึง ‘อดีต’ ตลอดสิบปีนั้น ขอบตาอวิ๋นจ้าวก็มีหยาดน้ำใสๆ เอ่อคลอ
หากนางให้โอกาสลู่อู๋เซิงสักครั้ง ยอมฟังคำอธิบายจากปากของเขา เรื่องราวก็คงไม่เปลี่ยนเป็นเช่นนี้