อวิ๋นจ้าวรู้สึกเสียใจกับความผิดพลาด และชิงชังตนเองเหลือเกิน ราวกับว่านางสังหารลู่อู๋เซิงกับมือ หากนางกับเขาได้แต่งงานกัน เขาก็คงต้องไม่ตาย
ลู่อู๋เซิงนึกว่านางจะกระทืบเท้าด่าทอซ่งโหย่วเฉิงไม่หยุด จากนั้นก็ปรี่ลงจากเขาไปสั่งสอนเขาสักยกเสียแล้ว ทว่านางกลับมีสีหน้าเศร้าสลดและเงียบงัน พอเขาจะเอ่ยถามก็เห็นร่างของนางโน้มเข้ามาหา ยื่นมือมากอดเขาเอาไว้แน่น
ร่างอบอุ่นนุ่มนิ่มโผเข้าหาพร้อมสายลมหอบหนึ่ง ทำให้ลู่อู๋เซิงทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
“ขอโทษนะ” อวิ๋นจ้าวน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ตั้งแต่เล็ก บิดามารดาก็บอกว่านางนิสัยดื้อรั้นเกินไป ต่อไปจะต้องเสียเปรียบคนอื่น นางกลับไม่เคยจดจำใส่ใจ ยังคิดว่าเป็นนิสัยที่ทำให้เสียเปรียบคนตรงไหนกัน บิดามารดาคงมองผิดไปแล้ว
แต่นางไม่เคยรู้เลยสักนิด ที่แท้นางเสียเปรียบผู้อื่นไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว ยังหลงใช้ชีวิตอย่างสบายใจและเต็มภาคภูมิ
“ลู่อู๋เซิง…ขอโทษนะ”
อวิ๋นจ้าวรู้สึกว่าดวงตาตนเองแสบร้อน เพียงกะพริบตาเบาๆ ครั้งหนึ่ง น้ำตาก็ไหลรินออกมา
น้ำเสียงแผ่วเบาไร้เรี่ยวแรง เต็มไปด้วยความสำนึกเสียใจ ลู่อู๋เซิงตะลึงงันก่อนจะยื่นมือมาโอบกอดนาง “อวิ๋นอวิ๋น ต่อไปพวกเราจะไม่สงสัยกันและกันอีก ต่อให้เกิดเรื่องใหญ่โตสักแค่ไหน พวกเราก็ต้องมาเจอกันสักครั้ง อธิบายกันต่อหน้าอย่างชัดเจน”
“จะไม่มีเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้อีกแล้ว” อวิ๋นจ้าวเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมอกเขา ดวงตาเป็นสีแดงระเรื่อ
คนที่เข้าไปช่วยนางถึงจวนโหวโดยไม่กลัวเกรงอันตราย คนที่รอนางเป็นสิบปี นางไม่มีทางสงสัยเขาเพราะเรื่องน่าขบขันเช่นนั้นอีกแน่ ที่โดนยุแยงให้แตกหักเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะผู้อื่นรู้จักนิสัยของนางเป็นอย่างดี กระทั่งมองเห็นช่องโหว่ให้ใช้ประโยชน์ได้หรอกหรือ
ซ่งโหย่วเฉิง…
อวิ๋นจ้าวกัดฟันกรอด รอให้นางลงเขาไปก่อนเถอะ จะต้องสะสางบัญชีนี้กับเขาแน่ จะต้องฉีกกระชากร่างเขาให้ได้เลยคอยดู!
“อวิ๋นอวิ๋น เอาไว้ลงเขาแล้ว พวกเราไปหาซ่งโหย่วเฉิงกัน”
“ข้าก็คิดเช่นนี้พอดี” อวิ๋นจ้าวเช็ดรอยน้ำตา เอาศีรษะซุกเข้าไปในแผงอกกว้างแข็งแกร่งของเขา
ลู่อู๋เซิงกอดนางไว้ เขาเองก็นิ่งเงียบไร้วาจาใด มีเพียงเสียงใบไผ่กระทบเสียดสีกันลอยเข้าหู กลางอ้อมกอดนี้คือนางในดวงใจ ความเงียบสงบและความอิ่มเอมใจนี้ ตอนที่มีจารึกชื่อบนทำเนียบทองก็ยังเทียบไม่ได้เลย
ทันใดนั้นท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าไผ่ จู่ๆ ก็มีสุ้มเสียงผิดแปลกดังแทรกขึ้นมา ลู่อู๋เซิงมีท่าทีชะงักงัน เขามองสำรวจทุกซอกมุมเท่าที่สายตาจะกวาดมองถึง สีหน้ายิ่งเคร่งขรึมขึ้นทุกขณะ
ร่างกายลู่อู๋เซิงแข็งค้างขึ้นมาเล็กน้อย แม้แต่อวิ๋นจ้าวก็สัมผัสได้ เขาจึงคลายมือออกแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ลู่อู๋เซิงอยากให้นางออกไปก่อน ทว่ากลับมีคนพุ่งมาจากทุกทิศทุกทาง ไม่มีช่องว่างเลยสักนิดเดียว ด้วยเหตุผลนี้เอง เขาจึงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล หากเป็นเพียงคนที่เดินผ่านทางมา เดิมทีก็ไม่จำเป็นต้องกรูกันเข้ามาและระมัดระวังถึงขนาดนี้ คล้ายกับว่าไม่อยากให้พวกเขารู้ตัว ทว่าเขากลับจับสังเกตได้แล้ว มือขวาเคลื่อนไปข้างเอวคว้ากริชออกมา ดึงร่างอวิ๋นจ้าวมาไว้ข้างหลัง กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “หาโอกาสได้เมื่อใด รีบหนีไปทันที”
อวิ๋นจ้าวลำคอแห้งผากขึ้นมาโดยพลัน บรรยากาศเช่นนี้มีเค้าลางไม่ดีเอาเสียเลย
ดูเหมือนคนกลุ่มนั้นก็รับรู้แล้วเช่นกันว่าคนทางนี้อยู่ในสภาวะที่ตื่นตัวเต็มที่ ความเคลื่อนไหวจึงเปิดเผยกว่าเดิมหลายส่วน เรียกได้ว่าทั่วทั้งสี่ทิศมีเสียงใบไผ่โดนเหยียบย่ำดังสวบสาบพร้อมกัน พวกเขาล้วนมุ่งหน้าตรงมาทางนี้อย่างว่องไว เผยโฉมหน้าดุร้ายออกมาจากป่าไผ่ที่ลึกและเงียบสงัด
คนสวมชุดสีดำสนิทแนบตัว ในมือถือกระบี่ยาวปรากฏตัวขึ้นทีละคน พริบตาเดียวก็มีถึงยี่สิบกว่าคน โอบล้อมคนทั้งสองเอาไว้ตรงกลาง
เดิมทีอวิ๋นจ้าวนึกว่าพวกเขาจะเป็นยอดฝีมือจากสำนักใดสำนักหนึ่ง ทว่าหลังนางกวาดสายตามองอาวุธหลากหลายแบบและความยาวไม่เท่ากันในมือพวกเขาแล้วก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในใจ ปกติแล้วแต่ละสำนักจะมีจุดเด่นและลักษณะของอาวุธที่ใช้เป็นแบบเดียวกัน แต่คนกลุ่มนี้กลับใช้อาวุธไม่เหมือนกันเลย เห็นได้ชัดว่ามาจากคนละสำนัก และนี่ก็เป็นบนเขาสูง เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าคงเป็น…โจรภูเขา!