“ข้าจะให้เงินพวกเจ้า แต่อย่าทำร้ายพวกเราเลยนะ”
ด้วยเห็นว่าครั้งนี้คงได้แตกหักกันไปข้างหนึ่งเป็นแน่ อวิ๋นจ้าวจึงรีบนำถุงเงินออกมาทันที วันนี้นางไม่ได้พกเงินติดตัวมามากนัก แต่ก็ยังอยากฝืนลองทำในสิ่งที่ไม่น่าจะสำเร็จ โยนถุงเงินไปที่เท้าของพวกเขา คนผู้นั้นเพียงก้มมองดูเล็กน้อย กลิ่นอายดุร้ายที่แผ่ออกมาจางหายไป อวิ๋นจ้าวเฝ้ามองด้วยความหวาดหวั่น เขารังเกียจว่าน้อยเกินไปอย่างที่คิดไว้จริงๆ
นางยังคิดหาทางเจรจาต่อรองกับพวกเขาต่อ แต่คนพวกนั้นไม่มีความอดทนอีกแล้ว ต่างจับอาวุธพุ่งตรงมาที่นางและลู่อู๋เซิง
อวิ๋นจ้าวไม่เคยเห็นอาวุธมากมายขนาดนี้ จึงตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก กระทั่งกระบี่ยาวเกือบแตะปลายจมูกอยู่แล้ว พลันได้ยินเสียงชิ้ง ก่อนจะโดนกริชเล่มหนึ่งมาปัดออกไป
ลู่อู๋เซิงคอยปกป้องนางอยู่ตรงกลาง สกัดกั้นคมดาบคมกระบี่ที่พุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย แววตาของนางเต็มไปด้วยแสงเงาวูบไหวของอาวุธและร่างของลู่อู๋เซิง ยามนี้หน้าผากของอวิ๋นจ้าวมีเหงื่อเย็นๆ ไหลซึมออกมา
ฝ่ายตรงข้ามมีคนมากกว่า นางเห็นลู่อู๋เซิงอ่อนล้ามากขึ้นทุกที มือของเขารวมถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่มีรอยถูกกรีดขาดนับสิบรอย ทว่านางกลับไม่บาดเจ็บเลยแม้แต่ปลายเส้นผม
ในที่สุดอวิ๋นจ้าวก็สัมผัสได้ว่าเทพแห่งความตายมารออยู่เบื้องหน้า อยากจะร้องเรียกให้คนที่อยู่ในวัดมาช่วย ทว่าเพียงแค่นางขยับ คนร้ายก็จับสังเกตได้ในทันที นอกจากนางจะได้รับบาดเจ็บที่แขนแล้ว ยังทำให้ลู่อู๋เซิงเสียสมาธิโดนกระบี่แทงเข้าหนึ่งแผล อวิ๋นจ้าวหวาดผวาจนไม่กล้าขยับตัวส่งเดชอีก ได้แต่ร้องตะโกนให้คนมาช่วย
แต่บริเวณนี้อยู่ห่างไกลจากวัดมากนัก ยังจะมีใครที่ไหนได้ยิน นางตะโกนจนกระทั่งลำคอเจ็บแปลบแล้วก็ยังไม่เห็นคนมา กระทั่งนางนึกว่าผ่านไปนานมากแล้ว แต่ความจริงกลับผ่านไปเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น
“สวบ…”
เสียงกระบี่กวัดแกว่งทำลายความเงียบสงบของป่าไผ่ คละเคล้าไปกับเสียงกรีดเนื้อตัดกระดูกดังสะท้อนก้องป่า เลือดสาดกระเซ็นใส่พวงแก้มของอวิ๋นจ้าว นางกรีดร้อง “ลู่อู๋เซิง!”
นางกระโจนออกไปโดยไม่คิด ไม่รู้ว่าเอาเรี่ยวแรงหรือความว่องไวมาจากไหน สามารถคว้ากระบี่ที่ร่วงลงพื้นได้ในชั่วพริบตา ยกขึ้นกวัดแกว่งจนบีบให้โจรภูเขาถอยออกไปได้ครึ่งจั้ง พอนางหันกลับมาก็เห็นลู่อู๋เซิงเอามือกุมหัวใจเอาไว้ แต่ต่อให้นิ้วทั้งห้าจะกดแน่นเพียงใดก็ไม่อาจห้ามเลือดที่ไหลทะลักออกมาตามรอยแผลได้เลย
ดวงตาของนางแดงก่ำ สองมือจับกระบี่เตรียมพุ่งออกไป ลู่อู๋เซิงกลับคว้ามือข้างหนึ่งเอาไว้ “อวิ๋นอวิ๋น”
หากพุ่งเข้าใส่กลุ่มคนชุดดำเช่นนี้ จะต้องจบชีวิตในทันทีแน่นอน อวิ๋นจ้าวเข้าใจ ลู่อู๋เซิงยิ่งเข้าใจมากกว่า แม้ปกป้องให้นางปลอดภัยได้อีกแค่เพียงครู่เดียว เขาก็ต้องปกป้องนางเอาไว้
อวิ๋นจ้าวหันมองพวกเขาที่เดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ นางที่เป็นคนโอหังถือดีมาทั้งชีวิตคุกเข่าลงกับพื้น วิงวอนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ข้าขอร้อง พวกเจ้าปล่อยพวกเราไปเถอะ ข้ามีเงินให้พวกเจ้าอีกมาก ถ้าฆ่าพวกเราแล้ว พวกเจ้าจะไม่ได้อะไรเลย พวกเจ้าไม่ใช่โจรภูเขาหรือ โจรภูเขาไม่ใช่ต้องการทรัพย์สินเงินทองหรือ ข้าสามารถ…”
“พวกมันไม่ใช่โจรภูเขา” ลู่อู๋เซิงคว้าไหล่ของนางไว้แน่น ฝืนฉุดร่างนางลุกขึ้นมา ไม่ยอมเห็นคนที่หยิ่งทะนงเช่นนางต้องมาคุกเข่าขอร้องใคร
อวิ๋นจ้าวนิ่งอึ้งไป ชั่วพริบตานั้นหางตาก็เหลือบไปเห็นกระบี่อันคมกริบแทงทะลุหัวไหล่ของลู่อู๋เซิงอย่างเลือดเย็น เสียงกระบี่แทงผ่านเนื้อดังชัดเจนราวกับอยู่ข้างหู ทันใดนั้นเหมือนนางจะสติหลุดลอย หยาดน้ำตาไหลพรั่งพรูเป็นสาย นางใช้มือคว้าปลายกระบี่แหลมคมเล่มนั้น อาศัยกำลังที่มีดึงกระบี่ออกไป
เสื้อผ้าของลู่อู๋เซิงชุ่มโชกไปด้วยเลือด มือของอวิ๋นจ้าวเองก็มีแต่เลือดเต็มไปหมด ทว่านางกลับไม่รู้สึกเจ็บเลยแม้แต่น้อย เบื้องหน้ามีคมดาบคมกระบี่นับไม่ถ้วนจ้วงแทงเข้ามา ภาพชัดเจนเต็มสองตาอวิ๋นจ้าว ตอนนี้นางมีแต่ความตกตะลึงและสิ้นหวัง แต่จู่ๆ ก็มีคนมาบังคมอาวุธเย็นเยียบพวกนั้นให้นาง เสียงกรีดเนื้อตัดกระดูกดังก้องอีกครั้ง
เลือดค่อยๆ ไหลทะลักออกมา เปรอะเปื้อนสองมือและทั่วร่างของนาง นางควบคุมตนเองไม่ได้อีกแล้ว โอบกอดบุรุษที่รับทุกคมกระบี่แทนนางไว้แน่น ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด “ลู่อู๋เซิง! ลู่อู๋เซิง!”
ลู่อู๋เซิงยังเหลือลมหายใจเบาบาง เขาลืมตาเล็กน้อยมองอวิ๋นจ้าวที่กำลังร้องไห้เสียใจ ในดวงตามีแต่ความเสียใจและเสียดายยิ่ง
“อวิ๋นอวิ๋น…”
สวบ…
วาจาที่เอื้อนเอ่ยยังไม่ทันจบก็มีอีกกระบี่หนึ่งพุ่งเข้ามาปลิดลมหายใจสุดท้ายของลู่อู๋เซิง ต่อหน้าต่อตาอวิ๋นจ้าว
“ลู่อู๋เซิง!”
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 ก.ย. 62)