เรื่องที่ไปเชิญท่านหมอมานี้ก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าที่เพิ่งฟื้นต้องตกใจ พอนางได้ยินว่าหลานสาวเสียใจจนขาดสติ ก็รีบไปดูอาการด้วยความร้อนใจ พอจะย่างเท้าเข้าประตูก็เห็นสี่เชวี่ยยืนอยู่หน้าห้อง นางถามเสียงแผ่วเบาว่า “หลานสาวข้าเล่า”
สี่เชวี่ยมองเข้าไปในห้องด้วยแววตากล้ำกลืน ฮูหยินผู้เฒ่ามองตามนางไปก็เห็นหลานสาวสุดที่รักนั่งคุกเข่าอยู่ในห้อง ศีรษะก้มต่ำแทบจะจมลงไปกับหน้าอก ในมือไม่รู้ว่ากำอะไรอยู่ คล้ายกำลังสวดภาวนาอ้อนวอน
หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าสั่นสะท้าน ก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว ก่อนจะนั่งยอง คว้าไหล่หลานสาวพลางเอ่ยเรียก “อวิ๋นเอ๋อร์”
เสียงของท่านย่าราวกับลอยมาจากเส้นขอบฟ้า ช่างไกลโพ้นและว่างเปล่า ทำให้อวิ๋นจ้าวเลอะเลือนสับสน นางค่อยๆ เงยหน้ามองท่านย่าก่อนจะเอ่ยว่า “ท่านย่า ลู่อู๋เซิง…ตายแล้ว”
น้ำเสียงของอวิ๋นจ้าวแหบแห้ง
ดวงตาฮูหยินผู้เฒ่าพลันเปียกชื้น ดึงหลานสาวเข้ามากอด ถอนหายใจก่อนเอ่ยว่า “ย่ารู้ แต่เขาสละชีวิตเพื่อช่วยเจ้า เจ้ากลับทำร้ายตนเองเช่นนี้ เขาจะจากไปอย่างสบายใจได้หรือ”
ร่างของอวิ๋นจ้าวสั่นไหว ฮูหยินผู้เฒ่านึกว่านางจะยอมให้ใส่ยาแต่โดยดี แต่นางกลับมีสีหน้าแปลกพิกลยิ่ง บอกไม่ถูกว่าเป็นสีหน้าแบบใดกัน
ฮูหยินผู้เฒ่าปลอบใจคนเช่นนี้ย่อมไม่ผิด เพียงแต่นางไม่รู้ว่าอวิ๋นจ้าวย้อนเวลากลับมา ลู่อู๋เซิงต้องตายเพราะการกลับมาของนาง ฉะนั้นคำปลอบโยนทั่วไปนี้จึงทำให้นางยิ่งเสียใจและรู้สึกผิดมากขึ้น
เดิมทีอวิ๋นจ้าวคิดว่าตนเองชิงความได้เปรียบไว้มากมาย มาวันนี้นางถึงได้รู้ว่าคิดผิดไปเสียแล้ว
ทั้งยังผิดพลาดร้ายแรงเกินกว่าที่คิด
บุตรชายคนเดียวของท่านแม่ทัพใหญ่สกุลลู่ถูกลอบสังหารสร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งราชสำนัก ฝ่าบาททรงมีราชโองการลงมาด้วยพระองค์เอง สั่งการให้กรมทหารจับกุมคนร้ายให้ได้ ทว่าคนร้ายเหล่านั้นกลับเหมือนลอยหายไปในอากาศ อย่าว่าแต่เงาร่างเลย กระทั่งร่องรอยสักนิดก็หาไม่พบ
อวิ๋นจ้าวก็สั่งให้คนออกตามหาเช่นกัน ทว่าแม้แต่คนที่ราชสำนักยังหาไม่พบ สกุลนางที่เป็นเพียงคหบดีจะหาพบได้อย่างไรกัน
ชั่วพริบตาก็ถึงวันที่ลู่อู๋เซิงจากไปครบเจ็ดวัน แม่ทัพลู่ยังอยู่ระหว่างเดินทางกลับมา คาดว่าจะกลับมาเฝ้าศพบุตรชายได้ทันก่อนยามจื่อ
หน้าประตูจวนสกุลลู่แขวนโคมอักษรเตี้ยนเอาไว้สองดวง สำหรับอวิ๋นจ้าวแล้ว ภาพนี้ช่างคุ้นเคยและบาดตา
นางเดินวนเวียนไปมาในตรอกเล็กหน้าจวนหลายวันแล้ว อยากจะเข้าไปพบเขา แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป
ทุกวันสี่เชวี่ยจะพาสาวใช้ตัวน้อยสองคนมาเฝ้าคุณหนูของตนไว้ ประเดี๋ยวเอาเตาอุ่นใส่มือนาง ประเดี๋ยวคลุมเสื้อคลุมกันลมให้ ประเดี๋ยวเอาอะไรให้กิน นี่ก็เพิ่งจะไปเปลี่ยนเตาอุ่นกลับมา มองจากที่ไกลๆ ยามค่ำคืนที่หิมะโปรยปรายดูเลือนราง เงาร่างนั้นยิ่งอ้างว้างโดดเดี่ยว สี่เชวี่ยอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ สาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “คุณหนูเสียสติไปแล้วหรือ”
สี่เชวี่ยถลึงตาใส่ จิ้มหน้าผากของนางอย่างแรง “ห้ามพูดจาเช่นนี้”
สาวใช้ตัวน้อยลูบหน้าผากแล้วกล่าวต่อ “แต่คนในคฤหาสน์พูดเช่นนี้กันทั้งนั้น พี่สี่เชวี่ย ถ้าหากคุณหนูเสียสติไปแล้วจะไล่พวกเราไปหรือไม่ ข้าไม่อยากไปเลย ถึงคุณหนูจะโมโหร้ายแต่ก็ไม่เคยทุบตีคน”
คำพูดนี้ทำให้แม้แต่สี่เชวี่ยก็รู้สึกหดหู่ใจไปด้วย นางเกาศีรษะแกรกๆ “ไม่รู้ ข้าไม่รู้ คุณหนูจะต้องดีขึ้นแน่”
“จะต้องดีขึ้น! จะต้องดีขึ้นแน่!”
สาวใช้ตัวน้อยทั้งสองพากันส่งเสียงรับคำ สี่เชวี่ยถึงเริ่มรู้สึกว่าตนเองฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย นางยืดตัวตรง ตั้งใจว่าอีกครู่หนึ่งจะพาตัวคุณหนูกลับไป นายท่านสั่งกำชับไว้ รอให้ครบเจ็ดวันที่เซ่นไหว้คุณชายลู่แล้ว จะปล่อยให้คุณหนูมาก่อเรื่องวุ่นวายอีกไม่ได้ จะต้องพาคุณหนูกลับบ้านทันที
“พี่สี่เชวี่ย คุณหนูหายไปแล้ว!”
สี่เชวี่ยรีบหันขวับกลับไปมอง ภายใต้หิมะโปรยไม่เห็นเงาร่างอันอ้างว้างนั้นอีกแล้ว นางตกใจยิ่ง พอได้คิดใคร่ครวญดูก็ยิ่งตื่นตระหนก “คุณหนูคงไม่ปีนกำแพงเข้าไปในห้องเซ่นไหว้ ไปหาคุณชายลู่หรอกนะ”