ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน โฉมงามสองหน้า บทที่ 1
อูอีเสวี่ยหันไปมองพวกเขาสี่คน ศิษย์พี่ชายสองหญิงสองนี้เติบโตมาด้วยกันกับนางตั้งแต่เด็ก ตอนนางขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขหุบเขา พวกเขาก็รับหน้าที่สำคัญเป็นผู้คุมกฎ เป็นองครักษ์ผู้กล้าตายของนาง ทว่าความลับเรื่องกระโดดหน้าผาอาจารย์บอกนางเพียงคนเดียว ผู้คุมกฎทั้งสี่หาได้รู้เรื่องนี้ไม่ นางไม่เพียงต้องรักษาชีวิตตนเอง ยังต้องรักษาชีวิตของผู้คุมกฎทั้งสี่ ถ้าให้พวกเขารู้ว่านางคิดจะกระโดดหน้าผา ผู้คุมกฎทั้งสี่จะต้องขัดขวางสุดกำลังแน่นอน เช่นนั้นแผนการขั้นต่อไปของนางก็คงทำไม่ได้แล้ว
อาจารย์อยู่ที่เทือกเขาหุบปีศาจมาสามสิบกว่าปี ต้นหญ้าทุกใบต้นไม้ทุกต้น ก้อนหินทุกก้อนภูเขาทุกลูก อาจารย์ล้วนรู้กระจ่างราวนิ้วมือตน รวมถึงหน้าผามัจจุราชที่เต็มไปด้วยอันตรายไม่มีต้นไม้ใบหญ้างอกแม้แต่ชุ่นเดียวแห่งนี้ด้วย
อาจารย์บอกหุบเหวด้านล่างของหน้าผามัจจุราชมองดูแล้วลึกมาก ทว่าความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพียงเพราะลักษณะพื้นภูมิและดินฟ้าอากาศทำให้เกิดภาพลวงตาว่าลึกมองไม่เห็นก้นเหว ความจริงแล้วภายใต้เมฆหมอกของหุบเหวเป็นทะเลต้นไม้สูงผืนใหญ่ที่หนาทึบและอ่อนนุ่มดุจแพรไหม อาจารย์บอกนางไม่ต้องกลัว วางใจโดดลงไป ไม่ตายแน่ กระโดดหน้าผาคือทางรอดทางเดียว คำพูดประโยคนี้ดังก้องอยู่ในสมองของอูอีเสวี่ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ท่านประมุขวางใจ พวกข้าสี่คนแม้ตายก็จะปกป้องท่านประมุข” อูเช่อผู้คุมกฎเสือดาวผู้แข็งแกร่งห้าวหาญ เขาเชี่ยวชาญการโจมตี ลงมืออย่างรุนแรงและรวดเร็วยิ่ง
“ชัยภูมิที่นี่ป้องกันข้าศึกได้ดี เมื่อเข้ามาในภูเขาแห่งนี้ก็เหมือนเข้ามาในเขาวงกต เราครอบครองชัยภูมิที่ได้เปรียบ สามารถไล่โจมตีศัตรูให้แตกพ่ายไปทีละส่วนได้” อูหลันผู้คุมกฎงูผู้หล่อเหลานุ่มนวลลุ่มลึก เชี่ยวชาญการใช้พิษและลอบโจมตี การเคลื่อนไหวลึกลับซับซ้อน
“ข้าวางค่ายกลมาตลอดทาง ต่อให้ไม่อาจกักพวกเขาไว้ในเขาได้ แต่ก็ตัดกำลังของพวกเขาลงได้” อูหลีผู้คุมกฎจิ้งจอกผู้งามเพริศพริ้งและนิ่มนวล ถนัดวางค่ายกลและใช้เสน่ห์เย้ายวนใจคน
“ข้าจัดการลบรอยเท้าแล้ว ทั้งทำร่องรอยปลอม พอจะหน่วงเหนี่ยวฝีเท้าของพวกเขาไว้ได้” อูเจียงผู้คุมกฎอินทรีผู้สุขุมเยือกเย็นดุจสายน้ำ สิ่งที่เชี่ยวชาญที่สุดคือสืบสวน หาเบาะแส และหลบซ่อนตัว
อูอีเสวี่ยฟังแล้วคลี่ยิ้ม อาศัยภูมิลักษณ์ของภูเขาและค่ายกลอาจสกัดกั้นชาวยุทธ์ทั่วไปได้ แต่ไม่อาจขัดขวางยอดฝีมือที่แท้จริงได้ มองผู้คุมกฎทั้งสี่ที่มีท่าทีไม่ยี่หระต่อความเป็นความตายนานแล้ว นางรู้สึกปลื้มใจ และตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแน่วแน่แล้ว สีหน้าพลันเคร่งขรึมลงก่อนจะตวาดขึ้น “ผู้คุมกฎทั้งสี่ฟังคำสั่ง!”
พอนางวางมาดของประมุขหุบเขา ผู้คุมกฎทั้งสี่ก็รีบคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น ส่งเสียงขึ้นพร้อมกัน “ท่านประมุขโปรดสั่งการ!”
“ข้าต้องการให้พวกเจ้าออกไปจากที่นี่ทันที ไม่อาจโอ้เอ้ชักช้า!”
ทั้งสี่คนต่างตะลึงงัน เงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก
ไปจากที่นี่ ความหมายของท่านประมุขก็คือให้พวกเขาหนีเอาตัวรอดไปเอง!
“ท่านประมุข…”
“หุบปาก! ข้ายังพูดไม่จบ!”
ภายใต้คำสั่งของนาง ทั้งสี่จำต้องหยุดปาก
ปกติอูอีเสวี่ยเป็นคนมีนิสัยพูดง่าย แต่นางรู้ว่าในเวลาเช่นนี้ถ้าจะให้ผู้คุมกฎทั้งสี่เชื่อฟัง จำเป็นต้องใช้อำนาจของประมุขหุบเขามาออกคำสั่งพวกเขา
“ตั้งแต่สำนักใหญ่ต่างๆ จับตามองหุบเขาหมื่นบุปผา อาจารย์ก็ได้คาดการณ์ถึงสถานการณ์ในวันนี้ไว้ล่วงหน้าและคิดหาวิธีหลบหนีเอาไว้แล้ว และนี่ก็คือสาเหตุที่ข้าพาพวกเจ้ามาที่หน้าผามัจจุราช วันนี้จะหนีรอดไปได้โดยปลอดภัยหรือไม่ ก็ต้องดูว่าพวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าประมุขผู้นี้หรือไม่ เวลานี้ข้าขอถามพวกเจ้า พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าหรือไม่”
ผู้คุมกฎทั้งสี่ได้ยินคำพูดนี้ก็ส่งเสียงตอบอย่างไม่ลังเลใดๆ “พวกเราเชื่อมั่นในตัวท่านประมุข แม้ตายก็ไม่สงสัย”
“ดีมาก ในเมื่อเชื่อข้าก็จงฟังคำสั่งข้า พวกเจ้าไม่เพียงต้องรักษาชีวิตเอาไว้ ยังต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจะหนีรอดออกไป หลังจากนี้หนึ่งเดือน ไปรวมตัวกันที่เมืองชิงหูที่อยู่ทางตะวันออก ข้าจะติดต่อพวกเจ้าไปเอง เข้าใจหรือไม่”
นางน้ำเสียงหนักแน่น ท่าทางมั่นใจไม่กราดเกรี้ยวทว่าน่าครั่นคร้าม คล้ายว่าทั้งหมดนี้อยู่ในการควบคุมของนางมาตั้งแต่แรกแล้ว
ผู้คุมกฎทั้งสี่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าเริ่มมีความหวัง ที่แท้อดีตประมุขได้เตรียมการไว้แล้ว อดีตประมุขแต่ไรมาวางแผนได้รอบคอบคิดการได้ยาวไกล ในเมื่อนางสั่งกำชับประมุขคนใหม่ไว้แล้วย่อมไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน
คิดได้ดังนี้ผู้คุมกฎทั้งสี่ก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เสียงตอบรับก็ดังก้องกังวานเป็นพิเศษ
“เข้าใจแล้ว!”
อูอีเสวี่ยหยักยกมุมปากเล็กน้อย ฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงดังมาแต่ไกล ทำให้รู้ว่าค่ายกลใกล้จะถูกคนทำลายแล้ว หัวใจนางอดบีบรัดไม่ได้ แต่ใบหน้ายังคงเรียบนิ่ง เพียงสั่งการผู้คุมกฎทั้งสี่ “ไม่อาจชักช้า รีบไป! หลังจากนี้หนึ่งเดือนไปเจอกันที่เมืองชิงหู ไม่พบไม่เลิกรา!”
ผู้คุมกฎทั้งสี่แม้จะรับคำสั่ง แต่ยังคงรู้สึกไม่สบายใจที่ต้องทิ้งประมุขหุบเขาไว้ส่วนตนเองฝ่าวงล้อมออกไป จึงอดมีท่าทีลังเลไม่ได้
อูอีเสวี่ยปั้นหน้าขรึม ตวาดเสียงเฉียบขาด “ยังไม่รีบไป! อย่าทำให้งานใหญ่ต้องเสียหาย!”
ผู้คุมกฎทั้งสี่ไม่ลังเลอีกต่อไป ตัดสินใจเด็ดขาด เงาร่างแข็งแรงทรงพลังของคนทั้งสี่แยกย้ายกันไปสี่ทิศด้วยความปราดเปรียวว่องไวราวกับสัตว์ป่า พริบตาเดียวก็หายลับเข้าไปในป่า ไม่เห็นร่องรอย
หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว สีหน้าลึกล้ำยากหยั่งถึงบนใบหน้าของอูอีเสวี่ยพลันหายวับไปทันที นางมองลงไปที่หุบเหวด้านล่าง ในใจเริ่มรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมาอีกครั้ง กลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดกลัว
สูงเพียงนี้…ไม่กลัวก็ประหลาดแล้ว!
ทว่ากลัวก็ส่วนกลัว นางยังคงต้องแข็งใจยืนหยัดไว้ ถัดจากนี้ยังมีละครฉากสำคัญต้องแสดง เป้าหมายของศัตรูคือนาง ขอเพียงนางรั้งเท้าศัตรูไว้ได้ยิ่งนาน โอกาสที่ผู้คุมกฎทั้งสี่จะฝ่าวงล้อมหนีออกไปได้ก็ยิ่งมาก สิ่งที่นางต้องทำในเวลานี้ก็คือรอคอยด้วยความสงบ เพื่อเตรียมรับมือกับการต่อสู้ครั้งใหญ่ถัดจากนี้ ไม่ผิดจากที่นางคาดการณ์ เวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อ กลิ่นอายการเข่นฆ่าสังหารก็ลอยมาในอากาศ ตามมาด้วยเสียงตวาดกราดเกรี้ยว “นางมารร้าย! จะหนีไปไหน!”
อูอีเสวี่ยที่กำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาพักผ่อนพลันลืมตาขึ้น สีหน้าเคร่งขรึม
มาแล้ว…