อูอีเสวี่ยหอบหายใจแรง ครานี้แม้แต่ความหวังสุดท้ายก็ไม่เหลือแล้ว พลังวัตรของนางสูญสิ้น ยังได้รับบาดเจ็บภายใน หวนนึกถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนหน้าผา พลังวัตรของนางจะต้องถูกสิงฟู่อวี่ดูดเอาไปเป็นแน่ กอปรกับเพื่อจะรักษาชีวิต นางได้ทุ่มเทพลังต่อสู้ถึงได้ถูกธาตุไฟเข้าแทรกจนทำให้เกิดการสวนทางย้อนกลับ
อูอีเสวี่ยเวลานี้นับว่าอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาอย่างแท้จริง คนในยุทธภพต่างบอกว่าวรยุทธ์หุบเขาหมื่นบุปผาของพวกนางเป็นวรยุทธ์มาร เวลานี้คิดดูแล้วก็มีเหตุผลอยู่มาก มิน่าปรมาจารย์ทั้งหลายจึงมักถูกกล่าวหาว่าเป็นนางมาร เพราะไม่แก่เฒ่า ส่วนนางก็เป็นนางมารที่เพิ่งถือกำเนิดใหม่
อูอีเสวี่ยจิตใจห่อเหี่ยวยิ่ง กำลังคิดจะร้องไห้ให้สาสมใจสักครั้ง ทว่าในเวลานี้เองก็มีเสียงสุนัขป่าคำรามดังมาจากที่ไกล ทำให้นางตัวสั่นสะท้าน รีบเอามืออุดปากตนเองไว้
นางไม่อาจร้องไห้ เสียงร้องไห้จะชักนำให้สุนัขป่ามา มีแต่จะยิ่งย่ำแย่!
นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเสียใจ คิดไปในทางที่ดี รูปร่างนางเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ ในยุทธภพยังจะมีใครจำนางได้ สิ่งสำคัญเร่งด่วนในตอนนี้คือคิดหาวิธีไปเมืองชิงหูที่อยู่ทางตะวันออก ผู้คุมกฎทั้งสี่ยังรอนางอยู่ ส่วนที่ว่าจะคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างไร นางจะหาโอกาสกลับไปในหุบเขาตรวจหาในคัมภีร์โบราณ ไม่แน่อาจตรวจพบวิธีคืนสู่สภาพเดิมได้
นางเช็ดโลหิตที่มุมปาก ลุกขึ้นยืน มองดูเสื้อผ้าที่หลวมโพรกไปทั้งร่าง รีบคลำตัวเสื้อด้านใน แล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีแผนที่ยังอยู่
แผนที่ฉบับนี้อาจารย์มอบให้นางเก็บรักษาไว้ ในเมื่ออาจารย์เตรียมทางรอดให้นางด้วยการกระโดดหน้าผาย่อมต้องเตรียมการด้านอื่นไว้พร้อมสรรพ หลังจากนางกระโดดหน้าผาลงมาแล้ว อาจารย์บอกให้นางไปหาถ้ำศิลาตามที่แผนที่ชี้บอกไว้
เมื่อมีเรื่องให้ทำ จิตใจก็ดูจะสับสนวุ่นวายน้อยลง นางตรวจสอบข้าวของที่พกติดตัว พบว่ากระเป๋าเงินกับป้ายหยกม่วงที่พกออกมาจากหุบเขาหล่นหายไปแล้ว เหลือเพียงกระบี่อ่อนที่เอวกับมีดสั้นที่พกติดตัว นางหงุดหงิดขึ้นมาอีกครั้ง ป้ายหยกม่วงแผ่นนั้นเป็นตราประทับที่เป็นสัญลักษณ์ยืนยันความเป็นประมุขหุบเขาหมื่นบุปผา บนแผ่นหยกแกะลวดลายไว้ ไม่มีป้ายหยกม่วงนางก็ไม่อาจใช้พิราบส่งข่าวติดต่อกับผู้คุมกฎทั้งสี่ได้
จะต้องทำหล่นหายตอนร่วงลงมาในหุบเหวเป็นแน่ นางรีบไปหาดูทั่วๆ หารู้ไม่ว่าระหว่างที่นางกำลังเที่ยวมองหาเหอเปา ที่ใส่หลักฐานยืนยันอยู่นั้น มีนกขนาดใหญ่ตัวหนึ่งได้คาบเหอเปาที่ห้อยอยู่บนต้นไม้ กางปีกบินขึ้นสูงไปแล้ว
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์สามารถมองเห็นสิ่งของในที่มืด แต่อูอีเสวี่ยสูญเสียพลังวัตรไปหมดสิ้น ถ้าไม่มีแสงสว่าง พอตกกลางคืนก็ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอด นางจำต้องล้มเลิกการหาหลักฐานยืนยันและกระเป๋าเงินชั่วคราว รีบไปหาถ้ำศิลาให้พบก่อนท้องฟ้าจะมืดสนิท
นางใช้มีดสั้นตัดเสื้อผ้าให้สั้นลงตามขนาดรูปร่างของตนในเวลานี้ จากนั้นก็เอาสายรัดเอวมัดให้แน่น แม้จะดูไม่เข้าท่าเข้าทางอยู่บ้าง แต่ย่อมดีกว่าเนื้อตัวเปลือยเปล่ามากนัก
ส่วนรองเท้านั้นใส่ไม่ได้แล้ว แต่จะเดินเท้าเปล่าก็ไม่ได้ ดังนั้นนางจึงใช้มีดสั้นหั่นรองเท้าให้มีขนาดเท่ากับเท้าในเวลานี้ จากนั้นก็ฉีกผ้าชิ้นหนึ่งออกมาผูกติดกับเท้าให้แน่น อย่างไรเสียแค่เดินได้ก็พอ
ด้วยกลัวจะทิ้งร่องรอยไว้ นางจึงเอาเศษผ้าที่ตัดออกมาไปฝังดิน หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยนางก็เสาะหาไปตามแผนที่ ในที่สุดก็หาถ้ำศิลาพบทันก่อนพลบค่ำ
ถ้ำศิลาที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแห่งนี้อยู่ด้านในผนังผา ถ้าไม่มีแผนที่ชี้บอก อูอีเสวี่ยเชื่อว่าต่อให้นางใช้เวลาทั้งชีวิตก็คงหาสถานที่แห่งนี้ไม่พบ