ความจริงแล้วนางไม่ใช่คนขี้แย ไม่เข้าใจว่าตนเองเป็นอะไรไป ยามอยู่ต่อหน้าเขากลับห้ามน้ำตาไม่อยู่
หลังจากสิงฟู่อวี่ต่อข้อมือกลับเข้าไปให้นาง และนวดรอยเขียวช้ำให้กระจายแล้ว จึงกระแอมไอขึ้น
“เจ้าพูดมา เรื่องนี้ที่แท้แล้วเป็นมาอย่างไร เหตุใดเจ้าจึงกลายเป็นเด็กอายุหกขวบไปได้”
อูอีเสวี่ยรู้ว่าตนตกอยู่ในมือของเขาอีกแล้ว โกหกต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จำต้องพูดความจริง
“เพราะเหตุใดข้าจึงตกอยู่ในสภาพนี้ ท่านคิดหาสาเหตุไม่ออกหรือ”
สิงฟู่อวี่ย้อนนึกอย่างละเอียด ตอนอยู่ที่หน้าผามัจจุราช ความจริงแล้วเขาไม่มีเจตนาที่จะสังหารนาง เพียงคิดจะทำลายวรยุทธ์ของนาง เพื่อจะได้เอาตัวนางกลับไปเมืองหลวงตามที่ได้รับมอบหมาย
เขาหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับนางในตอนนั้นตั้งแต่ต้นจนจบอีกครั้ง สุดท้ายก็มองมือของตนเอง พลันเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้ง
“หรือว่าตอนนั้นข้ามุ่งหมายจะทำลายวรยุทธ์เจ้า ดูดพลังวัตรของเจ้า ถึงได้ทำให้เจ้ากลายเป็นเด็กน้อย และเมื่อครู่ข้าถ่ายทอดพลังวัตรให้เจ้า เจ้าจึง…”
พูดมาถึงตรงนี้ ในสมองของเขาพลันนึกถึงภาพฝ่ามือแตะต้องส่วนที่อวบหยุ่นบนหน้าอกของนาง ความรู้สึกยามสัมผัสยังคงแจ่มชัด…ฉับพลันนั้นเลือดลมพลันพลุ่งพล่าน เขารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างประหลาด ส่วนนางก็ดูเหมือนจะนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาพร้อมกัน ดวงตาที่ช้อนมองมาพลันสบเข้ากับนัยน์ตาของเขา พวงแก้มนวลเนียนดุจดอกบัวพลันโลหิตสูบฉีด แดงฉานดุจเปลวไฟ ทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้ในเวลาอันสั้น
“มองอะไร” นางอดถามด้วยความโกรธแกมขวยเขินไม่ได้ หัวคิ้วนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคืองกลับเพิ่มความงดงามให้กับดวงหน้างามเพริศพริ้งอีกสามส่วน ดูสดใสน่ารักชวนลุ่มหลงยิ่ง
สิงฟู่อวี่สีหน้าอึดอัดขัดเขิน รีบกดข่มความรุ่มร้อนในร่างเอาไว้ พลันรู้สึกข้อมือที่อยู่ในฝ่ามือตนพยายามจะขยับออก เขารีบรวบมือแน่นไม่ปล่อย
“คิดหนีหรือ” เขาถามเสียงต่ำ
นางบอกน้ำเสียงฮึดฮัด “ข้าหนีพ้นหรือ ท่านบีบแรงจนข้าเจ็บแล้ว”
เขาคลายแรงลง แต่ยังไม่ยอมปล่อย เพราะเขาพบว่าแม้ตนเองจะจับนางได้แล้ว แต่กลับเหมือนไม่อยากจะมอบนางออกไป
เด็กน้อยที่เขารักและตามใจอย่างที่สุดคนหนึ่ง จู่ๆ ก็กลายเป็นนางมารที่เขาได้รับคำสั่งให้มาจับกุมตัว ทำให้กระบวนความคิดของเขาเปลี่ยนเป็นสับสนขึ้นมา ระหว่างที่ยังคิดไม่ออกว่าควรจัดการกับนางอย่างไร ก็คงได้แต่เอานางไว้ข้างกายเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิดไปก่อน
ตอนพวกเขาเดินออกมานอกห้อง ชาวนาสองสามีภรรยาต่างงงงัน ไม่เข้าใจว่าในบ้านของตนเหตุใดจึงมีหญิงสาวเพิ่มมาหนึ่งคน
สิงฟู่อวี่มอบเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเขาแล้วสั่งกำชับ “เรื่องในวันนี้ห้ามเอ่ยกับใครเด็ดขาด หาไม่พวกเจ้าคงรู้ถึงผลที่จะตามมา”
กลิ่นอายบนร่างของเขาน่าครั่นคร้ามยิ่ง สองสามีภรรยาเป็นชาวบ้านในชนบทห่างไกล เพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ย่อมไม่กล้าก่อเรื่อง รีบรับปากกับเขาว่าจะไม่พูดออกไปแม้ครึ่งคำ
สิงฟู่อวี่พาอูอีเสวี่ยออกจากบ้านชาวนา เพื่อป้องกันนางไม่ให้หลบหนี เขากุมมืออีกข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บของนางพานางเดินไป
จังหวะก้าวของเขายาว อูอีเสวี่ยที่ถูกลากให้เดินต้องซอยเท้าวิ่งจึงตามเขาทัน
“ท่านปล่อยมือ อย่างไรเสียข้าก็หนีไม่ได้” นางประท้วง
“ไม่ได้” เขายืนกรานจะกุมข้อมือนางเดินไป
นางดิ้นไม่หลุด จำต้องเดินตามต่อไป ในใจก็คาดเดาไม่ถูกว่าที่แท้แล้วบุรุษผู้นี้คิดจะจัดการกับนางอย่างไร
แม้นางจะกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่พลังวัตรฟื้นคืนมาเพียงส่วนเดียว คิดมาถึงตรงนี้ ในใจนางอดนึกเสียใจไม่ได้ ตอนนั้นถ้านางอดทนข่มกลั้นเอาไว้ได้ ไม่แน่อาจได้พลังวัตรกลับคืนมาทั้งหมด จากนั้นนางก็สั่นศีรษะปฏิเสธความคิดนี้ เรื่องแบบนี้จะให้ทนได้อย่างไร มีสตรีใดบ้างหลังจากฟื้นขึ้นมาพบว่าตนเองไม่มีผ้าพันกาย ทั้งถูกบุรุษลูบคลำหน้าอกยังจะรับมือด้วยความเยือกเย็นอยู่ได้
เฮ้อ ครั้งนี้นางเสียเปรียบมากจริงๆ! อูอีเสวี่ยรู้สึกหงุดหงิดอยู่ในใจ