ทันใดนั้นบนถนนเส้นเล็กที่อยู่เบื้องหน้าก็มีเกี้ยวหลังเล็กซึ่งมีคนแบกสี่คนผ่านมาพอดี หลินฟางโจวไม่ทันดูให้ดีเสียก่อนก็พุ่งตรงไปยังเกี้ยวหลังเล็กนั่นแล้ว ในใจคิดแค่เพียงว่า…มีคนมากแล้ว เจ้าสุนัขนั่นคงแยกไม่ออกว่าข้าอยู่ที่ไหน มันต้องไม่กล้าวิ่งตามมาอีกแน่
นางคงจะตกใจจนเลอะเลือนแล้วจริงๆ เป็นคนอยู่ดีๆ ก็ไปคาดเดาความคิดของสุนัขเสียได้
คนแบกเกี้ยวทั้งสี่มองเห็นชายหนุ่มรูปร่างผอมแห้งกอดแตงหวานสองลูกวิ่งมาราวกับสายลม ทางด้านหลังมีสุนัขตัวหนึ่ง และถัดออกไปก็เป็นชายชราคนหนึ่งเดินทุลักทุเลตามมา…ภาพนี้ช่างแปลกเกินไปแล้ว
พวกเขาพลันตกใจรีบหยุดเดินพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก “ทำอะไร! ทำอะไรกันน่ะ!”
ด้วยเหตุนี้เกี้ยวจึงโยกซ้ายโยกขวาไปมา น่าสงสารคนที่อยู่ข้างในยิ่งนัก เกรงว่าคนผู้นั้นคงจะถูกโยกจนวิงเวียนไปหมดแล้ว
หลินฟางโจววิ่งวนรอบเกี้ยวหลังนั้นรอบหนึ่ง ทว่าเจ้าสุนัขนั่นก็ยังไล่ตามนางไม่หยุด เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ตามมาทัน ทั้งยังกัดไปหนึ่งครั้ง แควก…มันกัดปลายกางเกงนางไปส่วนหนึ่งแล้ว
หลินฟางโจวตกใจจนเหงื่อออกทั่วร่าง ระหว่างที่ลนลานอยู่นั้นนางก็เห็นพวกเขาวางเกี้ยวลงกับพื้นแล้ว นางจึงก้มตัวลงพลางมุดเข้าไปในเกี้ยว
ในที่สุดชายชราก็ตามมาทัน เมื่อเห็นว่าสถานการณ์วุ่นวายยิ่งนัก เขาจึงตะโกนใส่สุนัขที่กำลังจะพุ่งตามเข้าไปในเกี้ยวให้หยุด
“พวกท่าน…ข้า…นั่น…” ชายชราพยายามเอ่ยชี้แจง
แต่หนึ่งในคนแบกเกี้ยวกลับเอ่ยขึ้นด้วยความโมโห “พวกเจ้าต้องการจะทำอะไร! หากพุ่งชนเข้า…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความเดือดดาลมาจากข้างในเกี้ยวแล้ว “หลิน! ฟาง! โจว!”
ตามด้วยเสียงตกใจที่แทบจะสูญเสียการควบคุม “ตะ…ตะ…ใต้เท้า!”
หลินฟางโจวรีบออกมาจากเกี้ยวอย่างตัวสั่นงันงก นางเห็นชายชราคุกเข่าอยู่บนพื้น แม้แต่สุนัขของเขาก็ยังหมอบลง ทว่าส่วนหางของมันกลับส่ายราวกับพัดใบกกอย่างไรอย่างนั้น เช่นนี้มิใช่ว่ามันกำลังดูแคลนผู้อื่นอยู่หรือไร!
หลินฟางโจวก็คุกเข่าลงแล้วเช่นกัน
พานเหรินเฟิ่งจัดหมวกขุนนางที่เอียงกระเท่เร่ให้เข้าที่ ก่อนจะเดินออกมาจากเกี้ยวอย่างไม่รีบไม่ร้อน ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงาน ยามที่เขาเดินเหินจึงไม่เร็วไม่ช้าเกินไป ย่างก้าวแต่ละก้าวล้วนมั่นคงสง่างาม เรียกได้ว่าเป็นท่าทางของขุนนางโดยแท้
หลินฟางโจวยิ้มทะเล้นพร้อมกับเอ่ย “ใต้เท้า ทำไมท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”
หลินฟางโจวยังไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันที่พานเหรินเฟิ่งไปแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของนายพรานและถือโอกาสเชิดชูความกล้าหาญของเขาด้วย ระหว่างที่กลับมาก็เจอเข้ากับนางซึ่งกำลังถูกสุนัขพร้อมกับเจ้าของสวนแตงไล่ตามอยู่พอดี
พานเหรินเฟิ่งไม่สนใจหลินฟางโจว เขาไม่อยากนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์น่าอายเมื่อครู่ที่ตนเองเพิ่งถูกชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกอดผลแตงหวานกระแทกจนล้ม
ชายชราผู้นั้นเห็นขโมยตีสนิทกับพานเหรินเฟิ่งก็กลัวว่าตนเองจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “ใต้เท้า คนผู้นี้ขโมยแตงหวานของข้าน้อยขอรับ!”
ตอนนี้ในอ้อมแขนของหลินฟางโจวยังคงกอดแตงหวานไว้อยู่เลย…
พานเหรินเฟิ่งมองหลินฟางโจวแค่เพียงแวบเดียวก็ทำสีหน้าจริงจังและเอ่ยตำหนิ “บังอาจนัก! เมื่อวานเจ้ามาล้อเล่นกับข้าหนหนึ่ง ข้าก็ไม่เก็บมาใส่ใจแล้วแท้ๆ คิดไม่ถึงว่าวันนี้เจ้าจะก่อเรื่องตอนกลางวันแสกๆ นี่มันเป็นการขโมยอย่างโจ่งแจ้ง ยังมีอะไรที่เจ้าไม่กล้าทำอีกหรือไม่!”
“ตะ…ตะ…ใต้เท้า ขะ…ขะ…ข้าน้อยก็แค่เล่นสนุกเท่านั้น เพียงแค่หยอกล้อเขาเล่น ข้าน้อยจะคืนให้เขาแล้วล่ะ” หลินฟางโจวพูดจบแล้วก็รีบส่งแตงหวานให้กับชายชราคนนั้นไป จากนั้นก็พูดกับชายชรา “ท่านปู่ ข้าผิดไปแล้ว ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ท่านให้อภัยข้าสักครั้งเถอะนะ คราวหลังข้าไม่กล้าอีกแล้ว”
พานเหรินเฟิ่งถามชายชราผู้นั้น “ข้าตัดสินให้เขาคืนแตงหวานทั้งสองลูกแก่เจ้า เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร”
ชายชรารีบเอ่ย “ขอบคุณใต้เท้าที่ตัดสินให้ข้าน้อย!”