ขอทานตัวน้อยมองมายังพวกเขาที่กำลังมองตนเองอยู่ จากนั้นก็เดินมุ่งตรงมาทางโต๊ะของหลินฟางโจวทางด้านนี้ ทั้งยังมองปาท่องโก๋ในจานของนางอย่างเหม่อลอย
หลินฟางโจวเอ่ยขึ้น “ช่างเถอะ เมื่อวานข้ารวยแล้ว วันนี้ก็จะทำความดีสักหน่อย เจ้าของร้าน เอาโจ๊กมาให้เขาชามหนึ่ง”
“ได้เลย! เอาปาท่องโก๋ด้วยหรือไม่”
หลินฟางโจวครุ่นคิด เสี่ยวหยวนเป่าเป็นไข้อยู่ ให้กินของมันเลี่ยนคงไม่ดี ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดออกไป “กินปาท่องโก๋อะไรเล่า ของหนึ่งชิ้นสองอีแปะ เขาก็จะกินคู่? เอาชุยปิ่งสักชิ้นให้เขาแล้วกัน”
‘ขอทานน้อย’ ก้มหน้าพลางเอ่ยขอบคุณอย่างจริงจัง ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหลินฟางโจวกำลังขยิบตามาทางเขาพอดี
เขากลั้นยิ้ม รอจนป้าอ้วนยกชุยปิ่งและโจ๊กมาวางตรงหน้าแล้วเขาก็เงยหน้าขึ้นมองพลางถามนางเสียงเบา “ข้านั่งกินตรงนี้ได้หรือไม่”
“นั่งสิๆ เด็กคนนี้เป็นเด็กดีเสียจริง ยังมาถามข้าอีก กลัวว่าข้าจะรังเกียจที่เจ้ามอมแมมสินะ เจ้านั่งเถอะ ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้าค่อยเช็ด”
ขอทานน้อยนั่งลงแล้วกินอาหาร เขากินช้าๆ โดยไม่เร่งรีบ
คนขายเนื้อแซ่เฉินมองเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถาม “เด็กน้อย ข้ามองท่าทางการพูดจาของเจ้าแล้วล้วนไม่เหมือนกับขอทานเลย เจ้ามีความลับอะไรหรือไม่”
คนที่อยู่รอบๆ ล้วนเกิดความสงสัยเช่นเดียวกัน ต่างก็หูผึ่งเพื่อฟังความลับของเขา ทว่าพวกเขากลับได้ยินขอทานน้อยเอ่ยตอบเพียงว่า “เดิมทีข้าเป็นคนเติงโจว ฐานะครอบครัวไม่อาจพูดได้ว่าร่ำรวย แต่ก็ถือว่าพอมีกินมีใช้ ข้าจึงเคยได้เล่าเรียนหนังสืออยู่หลายปี แต่เพราะท่านพ่อต้องคดี ถูกทรมานอยู่ในคุกจนทนไม่ไหวจากไปก่อนแล้ว ส่วนท่านแม่ข้าก็ฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ เพียงชั่วข้ามคืนข้าก็กลายเป็นคนขาดพ่อไร้แม่ ข้าจนตรอกยิ่งนัก จึงทำได้เพียงแค่ขอทานเพื่อประทังชีวิต เดินไปพลางขอข้าวไปพลาง เดินมาได้สองเดือนแล้ว จึงมาถึงสถานที่พรั่งพร้อมและมั่งคั่งแห่งนี้ ข้าเคยได้ยินว่าคนหย่งโจวใจดี วันนี้ได้เห็นกับตาก็เป็นตามนั้นจริงๆ ข้าจำไม่ได้แล้วว่าครั้งล่าสุดที่กินอิ่มคือเมื่อใด”
ป้าอ้วนฟังแล้วก็เช็ดน้ำตา คนรอบๆ ต่างก็ทอดถอนใจ
คนขายเนื้อแซ่เฉินกล่าว “เจ้ามาจากเติงโจวหรือ น้องหลินของข้าผู้นี้เดิมทีก็เป็นคนเติงโจว”
ขอทานน้อยเอ่ย “พี่ชายผู้นี้ก็แซ่หลินหรือ บังเอิญเสียจริง ข้าเองก็แซ่หลิน ข้าชื่อหลินฟางซือ ชื่อเล่นของข้าคือหยวนเป่า”
“หลินฟางซือ หลินฟางโจว…” คนขายเนื้อแซ่เฉินพูดสองชื่อนี้ซ้ำไปรอบหนึ่ง รู้สึกว่ามีเรื่องแปลกจึงเอ่ยขึ้นมา “พวกเจ้าต่างก็แซ่หลินและยังต่อด้วยอักษรฟาง จะเป็นไปได้หรือไม่ที่เป็นคนจากสกุลเดียวกัน”
หลินฟางโจวเกาท้ายทอยแล้วเอ่ยตอบ “ตอนที่ข้าออกมาจากเติงโจวเพิ่งอายุสองขวบ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าใครสกุลเดียวกันบ้าง”
“ยังจำลำดับญาติได้หรือไม่”
“จำได้เพียงเล็กน้อย”
เสี่ยวหยวนเป่าพูด “ท่านพ่อแซ่หลินนามซิ่นชิง ท่านปู่แซ่หลินนามเยวี่ยถาน ท่านทวดแซ่หลินนามหมิงเฉา…”
จู่ๆ หลินฟางโจวก็พูดชื่อออกมา “หลินหมิงเฉา!”
คนขายเนื้อแซ่เฉินกลับมามีท่าทีกระตือรือร้น “มีอะไรหรือ”
“ในลำดับญาติข้ามีชื่อนี้จริงๆ” หลินฟางโจวเอ่ย
ปัง! คนขายเนื้อแซ่เฉินตื่นเต้นเสียจนตบโต๊ะ “ฮ่าๆๆ ช่างบังเอิญจริง! เขาเป็นคนในตระกูลเจ้าจริงเสียด้วย พวกเจ้าสองพี่น้องช่างมีวาสนาต่อกัน เหตุใดถึงพอเหมาะพอเจาะเสียจริง ไม่ช้าไปไม่เร็วไป จะต้องได้พบเจอเช่นนี้ ฮ่าๆๆ ข้าดีใจมากเลยจริงๆ!”
หลินฟางโจวที่ราวกับขี่หลังเสือแล้วลงจากหลังเสือยากจึงรีบชี้แจง “ก็แค่ญาติห่างๆ น่ะ”
คนขายเนื้อแซ่เฉินพูดต่อ “ญาติห่างๆ ก็คือญาติ! มา เด็กน้อย ข้าจะบอกเจ้าให้นะ น้องหลินของข้าผู้นี้ใจอ่อนที่สุด เจ้าลองขอร้องเขาสิ ขอร้องให้เขารับเลี้ยงเจ้า ย่อมดีกว่าไปเร่ร่อนขอทานแน่ ไม่รู้ว่าวันไหนเจ้าจะต้องหิวตายอยู่ตามทางรกร้างจนกลายเป็นอาหารของสุนัขเร่ร่อน!”