เฉินเสี่ยวซานได้รับขนมแล้วก็ดีใจอย่างมาก เขาเอาห่อผ้าสอดไปที่อ้อมแขนของหลินฟางโจวแล้วพูด “ท่านแม่ข้าได้ยินว่าท่านรับเด็กกลับมาเลี้ยงคนหนึ่ง เขาอายุรุ่นราวคราวเดียวกับข้า ท่านแม่จึงเลือกเสื้อผ้าของข้ามาหลายชุด ให้ข้านำมามอบให้ นางให้ข้าบอกกับท่านว่าไม่ต้องเกรงใจ”
“พี่สะใภ้ช่างมีความตั้งใจจริง” หลินฟางโจวรู้สึกซาบซึ้งใจ “ท่านแม่เจ้าสุขภาพดีขึ้นแล้วหรือ”
“ดีขึ้นมากแล้ว”
“อืม พรุ่งนี้ข้าจะไปหาท่านพ่อกับท่านแม่เจ้า”
หลังจากเฉินเสี่ยวซานกลับไปแล้ว เสี่ยวหยวนเป่าก็พูดกับหลินฟางโจว “ข้าคิดว่าสุขภาพข้าก็ดีขึ้นแล้ว”
“ไม่ต้องรีบๆ ยังมียาที่ยังกินไม่หมด ข้าจ่ายเงินซื้อมาแล้ว”
“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ข้าหมายถึงตอนนี้สุขภาพข้าดีกว่าแต่ก่อนตอนที่ข้ายังอยู่บ้านแล้ว เมื่อก่อนตอนที่ข้าป่วย แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนกินอะไรไม่ลงทั้งสิ้น”
แล้วตอนนี้เล่า ตอนนี้กำลังกินขนมสาวงามตัวน้อยอยู่ กินอย่างเอร็ดอร่อยมากด้วย
หลินฟางโจวลอบสงสัยอยู่ลึกๆ คงเป็นเพราะสาวงามตัวน้อยนี้งดงาม เจ้าเด็กน่าเกลียดนี่เลยกินได้อร่อย
หึๆ ข้าเป็นคนใจกว้าง เช่นนั้นก็จะไม่เปิดโปงเขาแล้วกัน…
ตอนบ่ายหลินฟางโจวอยากต้มน้ำร้อนไว้อาบน้ำ หม้อใบนั้นยังคงเลอะคราบเลือดอยู่ ทั้งยังมีหางหนูอีกหนึ่งเส้น นางขัดล้างหม้อไปสามรอบแล้วแต่ก็ยังได้กลิ่นจางๆ ของนกเค้าแมวและหนูอยู่ดี หากยังต้มน้ำอาบด้วยหม้อใบนี้ นางกลัวจริงๆ ว่าจะมีขนหนูลอยขึ้นมา
สุดท้ายนางก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงไปที่บ้านช่างตีเหล็กแล้วซื้อหม้อมาอีกหนึ่งใบ ก่อนจะแบกกลับบ้านด้วยแรงทั้งหมดที่มี
ตอนที่กลับถึงบ้านก็เหน็ดเหนื่อยจนแทบจะกระอักเลือดแล้ว หลินฟางโจวพูดกับเสี่ยวหยวนเป่า “มารดามันสิ ชาติที่แล้วข้าต้องติดค้างอะไรเจ้าเอาไว้แน่ ชาตินี้เจ้าจึงมาทวงหนี้ข้าเช่นนี้”
นางรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดไปตักน้ำที่บ่อน้ำต่อ ตักน้ำเสร็จแล้วก็กลับมาต้มน้ำ ทั้งสองคนสลับกันอาบน้ำร้อนตามลำดับ จากนั้นจึงนั่งหันหน้าเข้าหากันและเช็ดผมอยู่มุมหนึ่ง เสี่ยวหยวนเป่ายังคงมีท่าทางเงอะงะ หลินฟางโจวเช็ดผมตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้วยังต้องหันมาเช็ดให้เขาด้วย
เสี่ยวหยวนเป่าเพียงนั่งอยู่บนเตียง เขายอมให้นางเช็ดผมไปอย่างว่านอนสอนง่าย
หลินฟางโจวเช็ดผมพร้อมกับพูดไปด้วย “หลังจากนี้ให้เจ้าทำอะไรดีล่ะ เจ้าอายุเพียงเท่านี้ไม่อาจทำงานหนักได้ ทำได้เพียงแค่เข้าสำนักศึกษา ข้าไม่เพียงต้องเลี้ยงเจ้า ยังต้องส่งเสียเจ้าเรียนด้วยหรือ สิ้นเปลืองเป็นที่สุดเลย!”
“ท่านไม่อยากให้ข้าไปเรียน ข้าก็จะไม่ไปเรียน”
“ไม่ไปเรียนแล้วจะทำอะไรเล่า ไหล่ของเจ้าคงแบกของไม่ได้ มือก็คงยกของไม่ไหว”
“ท่านจะให้ข้าทำอะไร ข้าก็จะทำเช่นนั้น”
“ช่างเถอะๆ ตอนนี้พวกเรามีเงินแล้ว เจ้าก็ไปเรียนเถอะ รอจนใช้เงินหมดแล้วเจ้าก็ค่อยลาออกมา”
“อืม” เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ๆ เสี่ยวหยวนเป่าก็ถามขึ้นมา “ข้าไม่มีทะเบียนเรือนก็สามารถเข้าเรียนได้หรือ”
“มารดามันสิ เหตุใดจึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ…พรุ่งนี้ข้าจะไปลองถามดู ลองดูว่าจะสามารถให้เจ้าเข้ามาอยู่ในทะเบียนเรือนก่อนได้หรือไม่”
ตอนกลางคืนไข้ของเสี่ยวหยวนเป่าลดลงบ้างแล้ว หลินฟางโจวที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันจึงนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังหลับลึกเสียยิ่งกว่าเขา เด็กชายนอนอยู่ข้างกายนาง เขาอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องลอดเข้ามามองใบหน้ายามหลับลึกของนาง
ในค่ำคืนอันเงียบสงบที่มีแสงจันทร์สลัวเล็กน้อย เขาเห็นเพียงใบหน้าเลือนรางนั้นและได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของนาง
อาจเป็นเพราะอาบน้ำมาแล้ว ร่างกายจึงสดชื่นและปลอดโปร่งมากขึ้น เสี่ยวหยวนเป่ากุมมือของนางเอาไว้และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ชีวิตนี้เป็นข้าที่ติดค้างท่าน”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 ธ.ค. 62