ช่วงหัวค่ำหลินฟางโจวออกไปร่วมงานเลี้ยง เสี่ยวหยวนเป่าอยู่ภายในบ้านคนเดียว เขารู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้างและเวียนศีรษะเล็กน้อย คงเป็นเพราะหลายวันนี้เขาไม่ได้ออกไปข้างนอก เอาแต่อุดอู้อยู่ภายในบ้านเท่านั้น
เขาเห็นนกเค้าแมวตัวนั้นนิ่งเงียบ ดูเหมือนมันจะหิวแล้ว เขาจึงบิหมั่นโถวที่กินเหลือเป็นชิ้นเล็กโยนเข้าไปในหม้อ เวลาผ่านไปไม่นานก็มีหนูขึ้นมาบนหม้อจริงๆ เจ้าหนูนั่นกระโดดลงไปในหม้อเพื่อจะกินหมั่นโถว
เสี่ยวหยวนเป่าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับหนูมาไม่น้อย ในความเข้าใจของเขานั้นหนูล้วนซุกซน แต่ประสบการณ์หลายวันนี้ทำให้เขาพบว่าที่แท้หนูก็ถือเป็นสัตว์ที่ทั้งโง่ทั้งเซ่อชนิดหนึ่ง
เขาไม่อยากแตะต้องหนู ด้วยเหตุนี้จึงเปิดประตูกรงนกและเอานกเค้าแมวเข้าไปอยู่ในหม้อด้วย หลังจากนั้นก็ปิดฝาไว้ให้เรียบร้อย
เสร็จแล้ว! ข้าทั้งให้อาหารนกเค้าแมว ทั้งไม่ต้องเห็นภาพคาวเลือดอันน่าสะอิดสะเอียนนั้นด้วย เขานึกอย่างพึงพอใจยิ่งนัก
หลังจากทำเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้วเสี่ยวหยวนเป่าก็ยังรู้สึกเวียนศีรษะและแขนขาไม่มีแรง เขาเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก มองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นแสงแดดค่อยๆ สลัวลง ท้องฟ้าเกือบจะมืดสนิทแล้ว ดังนั้นเขาจึงยกผ้าห่มขึ้นมาคลุมและนอนหลับไป
หลินฟางโจวกินดื่มอย่างสำราญใจอยู่ที่หอวั่งเยวี่ย
พานเหรินเฟิ่งวางเงินรางวัลลงบนโต๊ะ เดิมทีตามประกาศเขียนว่าจะมอบรางวัลให้ห้าสิบตำลึง ทว่าเมื่อมาถึงมือของหลินฟางโจวกลับมีเพียงสิบตำลึงเท่านั้น นางรู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์จึงเอ่ยถาม “ใต้เท้า เหตุใดข้าน้อยจึงได้เพียงสิบตำลึง”
พานเหรินเฟิ่งอธิบาย “เงินรางวัลมีทั้งหมดห้าสิบตำลึง เป็นเจ้าที่ออกความคิดไม่ผิดแน่ แต่ยังมีคนรักบ้านเมืองอีกยี่สิบคนที่ไปเสี่ยงชีวิตบนภูเขาด้วย พวกเขาควรจะได้รับผลประโยชน์บ้าง ข้าจึงตัดสินใจว่าจะแบ่งเงินรางวัลออกเป็นสองส่วน เจ้าคนเดียวได้รับไปสิบตำลึง ส่วนคนอื่นที่เหลือคนละสองตำลึง เจ้ามีอะไรจะคัดค้าน”
เป็นเช่นนี้ก็มีเหตุผล แม้หลินฟางโจวจะยากจน แต่นางก็ไม่ใช่คนขี้เหนียว ได้ฟังพานเหรินเฟิ่งชี้แจงเช่นนี้นางก็พูดขึ้นว่า “ใต้เท้าฉลาดยิ่งนัก ควรเป็นไปตามนี้แหละ”
งานเลี้ยงกลางคืนพรั่งพร้อมยิ่งนัก มีทั้งหมูย่าง หยางเกิง ลูกชิ้น เนื้อปลาเส้น ปูยัดไส้ และอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งยังมีขนมหลากหลาย ขนมบางอย่างหลินฟางโจวก็ไม่เคยกินมาก่อน ถือว่าแปลกใหม่สำหรับนางมาก นางถึงกับเก็บขนมหลายชิ้นแอบซ่อนไว้ในแขนเสื้อ วางแผนไว้ว่าจะนำกลับไปให้เสี่ยวหยวนเป่าลองชิมดู
มีหลายคนเข้ามาดื่มอวยพรให้แก่หลินฟางโจว กระทั่งนางดื่มจนมึนเมา
พานเหรินเฟิ่งมีความสุขมาก เขาเรียกให้สตรีที่งามที่สุดในหอวั่งเยวี่ยมาขับร้องเพลงพื้นบ้าน โดยขอเพลง ‘ส่งเทพเวินเสิน’ เป็นพิเศษ ซึ่งเพลงนี้จะร้องเพียงแค่ช่วงปีใหม่ เวลาปกติทั่วไปไม่ค่อยได้ยินนัก
ทุกคนต่างนึกว่า ‘เทพเวินเสิน’ ในที่นี้หมายถึงเสือตัวนั้น พวกเขาจึงคิดว่าเหมาะสมมาก
มีเพียงหลินฟางโจวเท่านั้นที่รู้ว่า ‘เทพเวินเสิน’ ตัวจริงคือใคร