เมื่อหลินฟางโจวถาม เสี่ยวหยวนเป่าก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ที่แท้วันนี้ที่เขาต่อยคนล้วนวางแผนล่วงหน้าไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนอื่นรวบรวมคำพูดว่าร้ายที่อู่จ้าวหลินเคยพูดเอาไว้ทั้งหมด ต่อมาก็คอยมองหาจุดอ่อนของอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็เตรียมเลือดหมูไปทุกวัน เอาใส่ไว้ในอกเสื้อเพื่อรอโอกาสอยู่เงียบๆ รอกระทั่งช่วงเวลาที่อู่จ้าวหลินอยู่คนเดียว หลายๆ คนก็แห่มาล้อมเอาไว้ ก่อนจะสาดเลือดและวิวาท
ทั้งหมดเป็นไปตามแผนการของเขาทุกอย่าง ทว่าน่าเสียดายที่พวกเขาเพิ่งจะวิวาทกันได้ไม่นานก็มีคนมาพบเข้าและจับแยกในเวลาอันรวดเร็ว
ช่วงเวลาในตอนนั้นน่ากลัวเพียงใดหลินฟางโจวล้วนนึกภาพตามได้ทั้งหมด ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยเลือด ทั้งยังมีคนเป็นลมอยู่บนพื้นอีกคนหนึ่ง…คนที่เห็นด้วยตาตนเองย่อมนึกว่าเกิดการทะเลาะกันจนถึงแก่ชีวิตเป็นแน่
นางอดตัวสั่นเทาไม่ได้ “เจ้ามันใจกล้าเกินไปแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าอู่จ้าวหลินเป็นเช่นไรบ้าง หากบาดเจ็บไม่มากก็น่าจะพอไกล่เกลี่ยกันได้”
“ไม่ร้ายแรงมากนักหรอก พวกเราทั้งเรี่ยวแรงน้อยทั้งไม่ได้ลงมือรุนแรงอะไร”
เจ้าเด็กนี่ออกจะใจเย็นเกินไปแล้ว! หลินฟางโจวส่ายหน้าและเอ่ยถามอีกครั้ง “เจ้าได้ยินคำพูดเหลวไหลนี่จากเขามานานแล้ว แต่ที่อดทนมาได้นานเช่นนี้แล้วค่อยลงมือก็เพื่อรวบรวมคำพูดว่าร้ายของเขาที่กล่าวถึงคนอื่นน่ะหรือ”
เสี่ยวหยวนเป่าพยักหน้า ท่าทางยังคงนิ่งเฉย “จะได้มีเหตุผลเพียงพอในการลงมือ”
หลินฟางโจวรู้สึกแปลกใจอย่างมาก “เจ้าเป็นเด็กอยู่แท้ๆ เหตุใดจึงคิดแผนร้ายกาจเพียงนี้ออกมาได้ ไหนจะ ‘มีเหตุผลเพียงพอในการลงมือ’ อีก เรื่องพวกนี้เจ้าไปเรียนรู้มาจากที่ใดกัน”
“ย่อมเรียนรู้จากสำนักศึกษา ท่านนึกดูสิ ผู้ครองแคว้นตามบันทึกที่คิดทรยศหวังก่อกบฏ ยามที่ส่งกองทหารยังต้องถือธง ‘กำจัดขุนนางชั่วใกล้ชิดฮ่องเต้ให้หมดไป’ อยู่เลย หากข้าต่อยเขาเพราะเขาพูดว่าร้ายท่านเพียงคนเดียว เช่นนั้นก็เป็นแค่การแก้แค้นส่วนตัว หากต่อยเขาเพราะเขาพูดว่าร้ายอาจารย์ใหญ่ นั่นต่างหากจึงจะทำให้การต่อสู้นี้เกิดความเป็นธรรมขึ้น”
หลินฟางโจวกลอกตาพลางเอ่ย “เจ้านึกว่าคนอื่นจะเชื่อคำแก้ตัวนี้ของเจ้าจริงหรือ”
“เชื่อหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ”
“ถ้าอย่างนั้นเพราะเหตุใดจึงพูดเรื่องของข้ากับนายอำเภอออกมาอีกเล่า เมื่อเป็นเช่นนี้คำว่าร้ายที่เจ้ารวบรวมมาก็มิใช่ทำให้เจ้าต้องมาอยู่ที่นี่อยู่ดีหรอกหรือ”
“คำว่าร้ายเหล่านั้นเป็นเพียงข้ออ้างผิวเผินที่เอาไว้ใช้ในสำนักศึกษาเท่านั้น ทางด้านนายอำเภอให้เขารู้เหตุผลที่แท้จริงจะดีกว่า”
หลินฟางโจวไม่โง่ นางรู้ว่าเพราะอะไรถึงต้องให้พานเหรินเฟิ่งรู้เหตุผลที่แท้จริง อีกทั้งนางก็รู้ดีว่าพานเหรินเฟิ่งไม่มีทางเปิดโปงคำพูดพวกนี้ออกไปแน่ นางเท้าคางพลางมองเสี่ยวหยวนเป่าอย่างละเอียด มองไปได้ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมา “เจ้าฉลาดมากจริงๆ เจ้าอายุแค่สิบขวบจริงหรือ”
เสี่ยวหยวนเป่าพลันถอนหายใจพร้อมกับพูดเสียงเบา “หากข้าไม่ฉลาดให้มากสักหน่อย ข้าก็คงไม่มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้”