ชายหนุ่มได้ยินก็นิ่งเงียบไป ไม่ได้ตอบในทันที ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากอย่างนบนอบ “ข้าไม่ได้มาร้องละคร แค่ติดตามคณะละครเท่านั้น ฉวยโอกาสก่อนเปิดแสดงมาพักผ่อนที่นี่สักหน่อย” พูดจบเขาก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย กุยหวั่นจึงสังเกตเห็นว่าตอนที่ชายหนุ่มคลานออกมาอย่างตื่นตระหนกเมื่อครู่มีหนังสือเล่มหนึ่งหล่นลงมาจากตัว นางย่อตัวลงยื่นมือไปหยิบตำราเล่มนั้นขึ้นมาแล้วเปิดดูภายใต้สายตาตกใจเล็กน้อยของชายหนุ่ม หลังอ่านไปไม่เท่าใดนางก็แสดงท่าทางประหลาดใจออกมา คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เขาอ่านคือ ‘กลยุทธ์ปกครองแผ่นดิน’ เขาอ่านตำรากลยุทธ์ที่ลึกซึ้งขนาดนี้เชียวหรือ
กุยหวั่นนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในใจรู้สึกซับซ้อน “เมื่อครู่…เจ้าเห็นอะไรบ้าง”
แววตาสุกใสของชายหนุ่มแสดงความร้อนรนออกมาในทันที เขาเม้มริมฝีปาก สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร เห็นเขาเป็นเช่นนี้ กุยหวั่นก็มั่นใจว่าเขาต้องเห็นฉากเมื่อครู่อย่างแน่นอน คราวนี้แย่แล้ว…
กุยหวั่นยกมุมปากขึ้นยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยถามเขา “ปีนี้เจ้าอายุเท่าใด” น้ำเสียงนางอ่อนโยนราวลมฤดูใบไม้ผลิ
ชายหนุ่มรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส “สิบเก้าปี”
กุยหวั่นฉีกยิ้ม เขาอายุมากกว่านางหนึ่งปี อายุเท่านี้แล้วยังมีแววตาใสกระจ่างเช่นนี้ นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดาย แต่ต่อให้ใสซื่อหรือไร้เดียงสาเพียงใด ตอนนี้เข้ามาเกี่ยวพันในเรื่องนี้ก็มิอาจถอนตัวได้แล้ว
กุยหวั่นมองหน้าชายหนุ่ม แต่ยังคิดวิธีอะไรที่ดีไม่ออก ตำหนักหน้าครึกครื้นอย่างมาก แต่ที่นี่กลับเย็นเยือกถึงขีดสุด หญิงสาวในชุดงามคนหนึ่งกับชายหนุ่มผู้ใสซื่อราวน้ำคนหนึ่งจ้องหน้ากัน แต่ต่างฝ่ายต่างไร้คำพูด
จะดึงเวลาต่อไปอีกไม่ได้ กุยหวั่นคิดในใจขณะจ้องหน้าชายหนุ่มแล้วบอกเขาอย่างชัดเจน “เจ้าเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น มันยุ่งยากมาก นับจากนี้ไปชะตาชีวิตไม่ใช่ของเจ้าอีกแล้ว”
เห็นชายหนุ่มมีท่าทางฉงนและตื่นตระหนก กุยหวั่นก็อดนึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ “ตอนนี้เจ้ามีสองทางที่เลือกได้…”
“ข้าไม่พูดออกไปหรอก” ชายหนุ่มพูดตัดบทคำพูดของนางอย่างฉับพลัน เขาพูดด้วยท่าทางมุ่งมั่นอย่างยิ่ง เสียงพูดนั้นดังกว่าเดิมเพราะการตัดสินใจที่มุ่งมั่นของเขา
กุยหวั่นพยักหน้าเบาๆ แล้วตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อเจ้า” เห็นชายหนุ่มมีรอยยิ้มเพราะคำพูดนี้ กุยหวั่นจึงพูดเสริมขึ้น “แต่ข้าจะเอาชีวิตคนมากมายมาเสี่ยงกับตัวเจ้าไม่ได้ เรื่องนี้สำคัญมาก…ตอนนี้เจ้าเลือกได้เพียงหนึ่งในสองทางนี้เท่านั้น”
ใบหน้างามในความมืดนั้นดูซีดขาวยิ่งกว่าเดิม เขาฟังกุยหวั่นพูดอย่างเงียบๆ แฝงท่าทีครุ่นคิด
“ทางแรกคือเจ้าตาย” ราวกับไม่คิดว่าตนเองกำลังพูดเรื่องที่โหดร้าย น้ำเสียงของกุยหวั่นไม่ได้สั่นไหวเลยแม้แต่น้อย “ตอนนี้ขอเพียงข้าตะโกนเรียกคนมา ก็สามารถทำให้เจ้าตายได้ แต่ว่า…เจ้ายินดีจะตายไปแบบนี้หรือ” นางหยุดพูดแล้วมองหน้าชายหนุ่ม อยากจะมองทะลุผ่านดวงตาใสกระจ่างราวกระจกของเขาให้เห็นว่าในใจนั้นเป็นอย่างไร
เห็นอีกฝ่ายมีรอยยิ้มเศร้า กุยหวั่นจึงโปรยวิธีที่สองออกมา “ยังมีทางเลือกที่สอง” นางมองสำรวจชายหนุ่มอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนเอ่ยปากพูด “เจ้ายินดีจะออกจากคณะละครแล้วตามข้าไปหรือไม่”
ชายหนุ่มได้ฟังก็ตระหนก
เผชิญหน้ากับผู้ที่รู้ความลับ ปกติก็มีเพียงสองทางเช่นนี้ หนึ่งคือฆ่าคนปิดปาก สองคือเก็บมาใช้งาน แต่กับคนผู้นี้กุยหวั่นอยากจะใช้วิธีที่สองมากกว่า ไม่ว่าในวังหลวงนี้จะโหดร้ายทารุณเพียงใด นางก็ไม่อยากคร่าชีวิตคนง่ายๆ ตามไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังรู้สึกว่าคนผู้นี้หน้าตาท่าทางฉลาดใช้ได้
เห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ นางไม่รู้สึกหมดความอดทนแต่อย่างใด ยังคงรอเขาให้คำตอบนางอย่างเงียบๆ
ดวงตาของชายหนุ่มในความมืดมุ่งมั่นขึ้นมาทุกขณะ เขาเงยหน้าขึ้นประสานสายตากับกุ่ยหวั่น “ข้ายินดีไปกับท่าน”