หลังเดินเตร็ดเตร่อยู่ตลอดช่วงเช้า ในที่สุดก็เหนื่อยล้า นางหาร้านอาหารเพื่อนั่งพักผ่อน สั่งกับแกล้มสองสามอย่างพร้อมน้ำชาหนึ่งกา ต้องเซ่นไหว้ศาลเจ้าอวัยวะทั้งห้า* ของนางให้ดี ยามนี้ลูกค้าในร้านมากมี โต๊ะของนางเป็นโต๊ะที่เสี่ยวเอ้อร์ของร้านกางไว้เป็นการชั่วคราวหน้าบันได โต๊ะทั้งเล็กทั้งแคบ นางได้แต่นั่งลงอย่างจำใจ
บัดนี้หน้าประตูของร้านมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ คนผู้นี้เมื่อปรากฏตัว สายตาของทุกผู้ทุกนามต่างมองมาทางเขาอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ เขามีจมูกโด่ง ดวงตาเป็นประกายดั่งดวงดารา หล่อเหลาไร้ที่ติ เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ดึงดูดสายตาของทุกคน
สตรีใดที่สายตาของเขามองปราดไป ใครบ้างไม่หน้าแดงใจเต้นโครมคราม
ทว่าใบหน้าบุรุษผู้นั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ สายตามองกวาดภายในร้านหนึ่งรอบจนมาตกอยู่ที่เป้าหมาย
“ลูกค้า เพียงท่านเดียว? นั่งร่วมโต๊ะกับผู้อื่นได้หรือไม่”
หน้าของเสี่ยวเอ้อร์แขวนด้วยรอยยิ้มตามแบบฉบับ รีบขึ้นหน้าต้อนรับ ส่วนบรรดาลูกค้าที่ได้ยินเสียงทักทายของเสี่ยวเอ้อร์ หลายคนดวงตาทอประกายสว่างวาบยิ่งขึ้น คิดในใจว่าจะได้มีโอกาสร่วมโต๊ะกับบุรุษรูปงามหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ต่างยักย้ายสะโพกให้มีที่นั่งเหลือรอคอยให้เขาเข้าร่วมโต๊ะ
บุรุษผู้นี้กลับไม่มองคนพวกนั้นแม้เพียงแวบเดียว สายตาจับจ้องเป้าหมายเขม็ง ก้าวยาวเดินเข้าหาคนผู้นั้น แม้แต่จะทักทายยังไม่มี นั่งเต็มก้นลงร่วมโต๊ะเดียวกับอวี๋เสี่ยวเถา แถมยังปลดฝักดาบบนเอวลงวางไว้บนโต๊ะเอาดื้อๆ
ถ้วยชาที่อวี๋เสี่ยวเถายกมาไว้ข้างริมฝีปากชะงักงัน นางเบิกตาโตจ้องมองบุรุษผู้สูงสง่าผ่าเผยหล่อเหลาตรงหน้าผู้นี้ เขาเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้านกับเสี่ยวเอ้อร์ว่า
“สุรา”
“ขอรับๆ จะรีบมาทันที”
อวี๋เสี่ยวเถากะพริบตาปริบๆ มองบุรุษหล่อเหลาสง่างามผู้นี้พลางคิดแล้วคิดอีก ก่อนลุกขึ้นยืน
“ไปไหน” เขาเอ่ยปากถามเสียงทุ้มต่ำ
อวี๋เสี่ยวเถาเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ “โต๊ะนี้มอบให้คุณชาย ข้าไปร่วมโต๊ะกับผู้อื่น”
“หากเจ้านั่งโต๊ะอื่น ข้าจะไล่คนที่อยู่โต๊ะนั้นไปเสีย แล้วร่วมโต๊ะกับเจ้า”
อวี๋เสี่ยวเถาชะงัก มองเขาอย่างประหลาดใจ
“เก็บรังสีสังหารของเจ้าไปเสีย เป็นข้าเอง”
อวี๋เสี่ยวเถาตื่นตะลึงระคนสงสัยก่อน สุดท้ายเหมือนตระหนักสิ่งใดได้โดยพลัน จ้องเขาเขม็ง
“บุรุษเอวขาด?”
เจียงเซ่าเหิงส่งสายตาคมกริบให้นางฉับพลัน “ข้าเคยบอกแล้ว ห้ามเรียกข้าว่าบุรุษเอวขาด”
อวี๋เสี่ยวเถานั่งลงอย่างว่าง่าย ดวงเนตรคู่นั้นยังคงจับจ้องเขา จุปากร้องอย่างอัศจรรย์ใจ มองประเมินขึ้นลงอย่างเปิดเผยไม่ยำเกรงแต่อย่างใด ราวกับไม่เคยได้รับการอบรมจรรยาอันดีของสตรีก็มิปาน
“มองพอหรือยัง” เขาถาม
“ยังไม่พอ คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าหน้าตาเช่นนี้” นางไม่คิดปิดบังสีหน้าตื่นตะลึงของตนเองแต่อย่างใด ที่มากกว่านั้นคือความสงสัยว่าเหตุใดจึงรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างคุ้นตาอย่างยิ่ง แต่ก็นึกไม่ออก อีกทั้งบัดนี้นางกำลังหลบซ่อนการไล่ล่าจากคนของเหยียนจิ่ว ไม่อาจทราบได้ว่าบุรุษผู้นี้เป็นศัตรูหรือเป็นมิตร อย่าถามให้มากความจะดีกว่า
* เซ่นไหว้ศาลเจ้าอวัยวะทั้งห้า เป็นสำนวนเชิงติดตลกที่หมายถึงการกินอาหารดีๆ
ขณะที่นางจ้องเขาจนอ้าปากค้าง เจียงเซ่าเหิงร้องฮึอย่างเย็นชาเสียงหนึ่ง หัวเราะเยาะนางที่เป็นกระต่ายตื่นตูม แต่ก็พอใจที่ได้เห็นความประหลาดใจในสายตาของนาง เดิมเขาก็หล่อเหลางามสง่าทำให้ผู้คนตะลึง สตรีเมื่อเห็นเขาล้วนมิอาจละสายตา จนเขาชาชินเห็นเป็นเรื่องปกติแล้ว
“เหตุใดเจ้าไม่บอกเสียแต่เนิ่นๆ หากเจ้าบอกเร็วหน่อย ข้าก็ไม่ต้องชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบแล้ว” นางอดส่ายหน้าทอดถอนใจไม่ได้
เขาอึ้งไป มองนางอย่างงุนงง ยังไม่เข้าใจสีหน้าละอายแก่ใจของนางว่ามาจากสาเหตุใด จู่ๆ ก็รู้สึกชอบกลไปทั้งร่าง ถึงได้ตื่นตะลึงเมื่อพบว่าถูกวางยาเข้าเสียแล้ว!
“เจ้า…” เขายืนขึ้นอย่างโมโห
“ขออภัยด้วยๆ” อวี๋เสี่ยวเถารีบขึ้นหน้ามาประคองร่างโงนเงนของเขาพลางฉีกยิ้มเอ่ยกล่อม “ท่านพี่อย่าได้วู่วาม ข้าจะช่วยถอนพิษให้ทันที”
นางประคองเขาไปพลางหันหน้าไปตะโกนบอกเสี่ยวเอ้อร์ไปพลาง
“เสี่ยวเอ้อร์ หาห้องให้พวกเราห้องหนึ่ง!”
พอนางตะโกนเช่นนี้ทั้งสี่ทิศต่างเงียบกริบ สายตาของทุกคนต่างจ้องมองพวกเขาเป็นตาเดียว
นี่มันเรื่องอะไรกัน
บุรุษผู้งามสง่าหล่อเหลาเช่นนี้กลับติดกับหญิงอัปลักษณ์ถึงเพียงนี้ได้
ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนกันเล่า!
โปรดติดตามตอนต่อไป…