เวลานี้แม้แต่สิ่งล้ำค่าที่สุดในใต้หล้าหรือหยกเหอซื่อ* ที่ใช้ทำตราราชลัญจกรของแผ่นดินต้าฮั่นก็ล้วนเป็นเพียงเรื่องใต้เกือกม้าของพี่สาม หากเขาคิดจะไปย่อมควบทะยานไปโดยไม่ลังเล มีเพียงแต่เรื่องกินเท่านั้นที่จะเรียกให้เขาหยุดม้าได้
พี่สามดึงบังเหียนม้า “ยี่สิบเสียง”
อวิ๋นเกอพยักหน้า นี่เป็นวิธีนับเวลาที่นางและพี่สามใช้กันมาตั้งแต่ยังเล็ก ยี่สิบเสียงก็คือนับหนึ่งถึงยี่สิบ หากเกินไปแม้เพียงหนึ่งจะไม่มีการรั้งรอ
อวิ๋นเกอยิ้มถามเด็กชาย “ถ้ามีเงิน เจ้าจะยอมไปหาหมอใช่หรือไม่”
นัยน์ตาของเด็กชายฉายแววเยาะหยันตัวเอง เขาเจตนาวางมือดำๆ ของตนกุมเทียบกับมือของอวิ๋นเกอ มือหนึ่งดำสกปรกราวดินโคลน มือหนึ่งขาวสะอ้านราวเมฆขาว ความต่างระหว่างเมฆขาวกับดินโคลน หาได้สร้างความรู้สึกอันใดให้กับอวิ๋นเกอแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามนางกลับจับมือเขาไว้ เอ่ยปากถามซ้ำอีกครั้ง “ถ้ามีเงิน เจ้าจะยอมไปหาหมอใช่หรือไม่”
เด็กชายมองดูมือของอวิ๋นเกอที่ฉุดดึงมือเขา ตะลึงงันไปชั่วขณะ ไม่พูดไม่จา
อวิ๋นเกอยิ้มพูด “ในเมื่อไม่พูด เช่นนั้นก็ถือว่าเจ้าตกลงรับปากแล้ว พี่สาม ท่านมีเงินหรือไม่”
พี่สามพูดโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “ข้าไม่ได้พกเงินออกจากบ้าน คนอย่างข้าไม่มีวันถูกหลอก ในบ้านมีคนโง่คนเดียวก็พอแล้ว และต่อให้มีเงิน ข้าก็ไม่มีทางมอบมันให้กับผู้ชายไม่เอาไหนเด็ดขาด”
เด็กชายที่อยู่บนพื้นไม่เพียงไม่โกรธ ตรงกันข้ามกลับยิ้ม เขาปล่อยมือของอวิ๋นเกอ ทิ้งตัวกลับลงไปนอนบนพื้น ท่าทางราวกับกำลังนอนอยู่บนตั่งเตียงแสนสบาย ยิ้มเกียจคร้านพึงพอใจ รอยยิ้มเย้ยหยันตรงมุมปากไม่รู้กำลังยิ้มเยาะผู้อื่น หรือกำลังยิ้มเยาะตนเอง ดูราวกับเต็มเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า
อวิ๋นเกอที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอเก็บรอยยิ้ม พูดน้ำเสียงจริงจัง “ถูกขอทานรังแกไม่ได้แปลว่าไม่เอาไหน อาศัยใหญ่รังแกเล็ก มากรังแกน้อยเช่นนี้ พวกเขาทำไม่ถูก”
เด็กชายที่นอนอยู่บนพื้นยังคงยิ้มไม่ใส่ใจ นัยน์ตาดำขลับราวกับหินโมราวับวาวเป็นประกายเย็นเยียบดุจคมมีด
พี่สามส่งเสียงประชดออกมาคำหนึ่ง พูดน้ำเสียงราบเรียบ “สิบห้า สิบหก…”
ขณะที่อวิ๋นเกอกำลังนึกร้อนใจ เด็กชายบนพื้นกลับพูดจาเย้ยหยันนาง “คุณหนูผู้สูงศักดิ์ หากท่านไม่มีเงินก็มอบไข่มุกบนรองเท้าท่านให้กับข้าแทนสิ! ข้าจะได้เอามันไปแลกเงินหาหมอ” ไหนๆ ก็ถูกเห็นเป็นพวกต้มตุ๋นแล้ว เช่นนั้นก็หลอกเอาเงินจริงเสียเลยจะเป็นไร มุกเม็ดนั้นไม่ว่าจะสีหรือขนาด อย่าว่าแต่หมอเลย ต่อให้ซื้อโรงหมอทั้งโรงก็ยังได้
“มันแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ด้วยกระนั้นหรือ” อวิ๋นเกอแค่รู้สึกว่าหากบนรองเท้ามีมุกประดับอยู่คงน่าดูมากก็เท่านั้น ด้วยเหตุนี้นางถึงได้ขอให้ท่านแม่หาคนช่วยทำรองเท้าแบบนี้ให้ ตอนนี้นางถึงเพิ่งจะรู้ว่ามันสามารถแลกเป็นเงินได้ด้วย นางพยักหน้ายิ้ม รีบก้มลงดึงมุกออก แต่เพราะถูกร้อยไว้แน่นหนาด้วยด้ายทองจึงไม่อาจดึงออกได้โดยง่าย
“สิบแปด สิบเก้า…”
อวิ๋นเกอรีบถอดรองเท้า วางมันไว้ที่ข้างมือของอีกฝ่าย หลังจากนั้นก็หันหลังวิ่งขึ้นอูฐ ไล่ตามหลังพี่สามไปพลางตะโกนร้องกำชับอยู่ไกลๆ “จำไว้ว่าต้องไปหาหมอ สุภาพชนพูดแล้วไม่คืนคำ!”
เด็กชายนอนอยู่บนพื้น สายตามองไปยังร่างในอาภรณ์สีเขียวบนหลังอูฐขาวที่กำลังห่างออกไปทุกที
ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันน้อยๆ รอยยิ้มยังคงแลดูเกียจคร้านเหมือนเก่า
* หยกเหอซื่อ (เหอซื่อปี้) เป็นชื่อหยกที่ได้รับการขนานนามว่างามที่สุดและไม่อาจประเมิณค่าได้ ในสมัยชุนชิวเปี้ยนเหอแห่งแคว้นฉู่ผู้ขุดค้นพบได้นำหินหยกสีขาวขุ่นขึ้นถวายฉู่อ๋อง ตอนแรกถูกเข้าใจผิดเห็นเป็นหินธรรมดาจึงถูกลงโทษให้ตัดขาทั้งสองข้าง ภายหลังเมื่อเป็นที่ยอมรับว่าเป็นหยกจริงจึงได้ตั้งชื่อว่าหยกเหอซื่อตามชื่อของเขา
ภายในดวงตา สิ่งที่ซุกซ่อนอยู่หลังความเงียบงันว่างเปล่ากลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ดำมืดเสียยิ่งกว่าความมืดยามวิกาล
เขากุมรองเท้าปักลายข้างมือไว้ช้าๆ รอยยิ้มเย้ยหยันชั่วร้ายทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกที
ที่แท้ของที่ผู้อื่นเห็นว่าสามารถสร้างชีวิตอันมั่งคั่งสมบูรณ์พูนสุขได้ สำหรับนางแล้วก็แค่ไข่มุกที่เอาไว้ใช้เล่นสนุกเม็ดหนึ่งเท่านั้น
“แต่ไหนแต่ไรข้าก็ไม่ใช่สุภาพชน! และไม่คิดจะเป็นสุภาพชนอะไรทั้งนั้น!”
เขาออกแรงโยนรองเท้าของอวิ๋นเกอออกไป แหงนหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้าเบื้องบนที่ไม่มีวันรู้สึกทุกข์ร้อนโศกาอาดูรอันใด
นี่คงเป็นชะตาชีวิตกระมัง
สวรรค์ใช้อะไรเป็นเครื่องตัดสินว่าผู้ใดควรมั่งมี ผู้ใดควรต้อยต่ำ ผู้ใดควรตาย ผู้ใดควรอยู่ ชะตาชีวิตผู้ใดมีค่ากว่ากัน
สวรรค์บัดซบ! ข้าไม่มีวันยอมให้ท่านเป็นคนกำหนดชะตาชีวิตข้าเด็ดขาด สิ่งที่ท่านแย่งชิงไปจากมือข้า ข้าจะเอามันกลับคืนเป็นทวีคูณ! ใครขวางข้า ไม่ว่าจะเทพหรือปีศาจ ข้าจะฆ่ามันให้สิ้น!
โปรดติดตามตอนต่อไป…