ละลายลงไปในน้ำแกงจนหมด หลังจากนั้นก็กรองเอาเศษออกเหลือไว้เพียงน้ำแกงสีขาว ก่อนปรุงรสด้วยกลีบดอกเหมยที่แช่อยู่ในน้ำจากเขาซีไซ่กับเกลืออีกเล็กน้อย ส่วนฉางเอ๋อเหินจันทร์ เลือกใช้ด้ามพู่กันอ่อน หรือก็คือลูกปลาไหลนานั่นเอง ความยาวของมันห้ามไม่ให้ยาวเกินหรือสั้นเกินหนึ่งด้ามพู่กันถึงได้เรียกพวกมันว่าด้ามพู่กันอ่อน เลือกเอาเฉพาะเนื้อสันหลังนำไปผัดลงในกระทะตั้งน้ำมันไฟแรง ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงยี่สิบสี่ชนิด ครั้นยกลงจากเตา เนื้อของมันจะเลื่อมเป็นมันเงา นุ่มละมุนลิ้น กลิ่นหอมอบอวล จัดวางลงบนจานหยกขาว จานที่ใช้ต้องกลมเหมือนจันทร์วันเพ็ญ เนื้อปลาไหลเป็นเส้นเรียวยาว ยามอยู่บนจานจะดูละม้ายคล้ายแขนเสื้อของฉางเอ๋อที่กำลังแผ่กว้าง และนั่นก็เป็นที่มาของชื่อฉางเอ๋อเหินจันทร์”
น้ำเสียงของอวิ๋นเกอไพเราะเสนาะหู พูดจาคล่องแคล่วไม่มีสะดุดราวกับกรรมวิธีทั้งหมดล้วนง่ายดายเสียจนไม่อาจง่ายดายไปมากกว่านี้ แต่เถ้าแก่เจ้าของหอสุรากับพ่อครัวกลับได้แต่มองหน้ากันไปมา
เถ้าแก่เจ้าของหอสุราน้อมคำนับอวิ๋นเกอ “เสียมารยาทแล้วๆ! แม่นางเชี่ยวชาญยิ่งนัก ‘ฉางเอ๋อเหินจันทร์’ แม้จะกระชั้นชิด แต่พวกเรายังพอทำให้ได้อยู่ แต่ ‘สามกาสารสะท้อนจันทร์’ เกรงว่าจะไม่อาจ”
ยังไม่ทันที่อวิ๋นเกอจะพูดอะไรออกมา วาจาเผ็ดร้อนกล้าได้กล้าเสียของสตรีนางหนึ่งก็ดังขึ้น ”ฉางเอ๋อเหินจันทร์อะไรกัน ก็แค่ผัดปลาไหลเท่านั้น ทำเป็นพูดเสียยุ่งยาก! ข้าว่าคิดหาเรื่องแกล้งกันมากกว่า!”
อวิ๋นเกอผินหน้ามอง ที่แท้ก็คือสวี่ผิงจวิน นางกำลังแบกไหสุราขนาดใหญ่เดินผ่านข้างโต๊ะไป
เถ้าแก่เจ้าของหอสุราที่อยู่อีกด้านรีบพูด “เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก สี กลิ่น รสสัมผัสคือสามหลักใหญ่ในการตัดสินอาหารว่าดีเลวเช่นไร ชื่อเพราะหรือไม่ รูปร่างสีสันชวนมองหรือเปล่า ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ”
อวิ๋นเกอยิ้มจางๆ ไม่ต่อปากต่อคำ เอาแต่สูดจมูกฟุดฟิดดมกลิ่น “สุรานี้หอมยิ่งนัก! น่าจะเป็นเหล้าเกาเหลียงทั่วไป แต่กลิ่นหอมจรุงยากจะบรรยายเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสุราชั้นเลิศ นี่มันกลิ่นหอมของอะไรกัน ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ และก็ไม่ใช่กลิ่นเครื่องปรุงแต่ง…”
สวี่ผิงจวินหันกลับมามองดูอวิ๋นเกอด้วยความประหลาดใจ แม้จะจำเมิ่งเจวี๋ยได้ แต่ก็ดูไม่ออกว่าอวิ๋นเกอที่เลือกมากเรื่องอาหารการกินนั้นคือคนเดียวกับขอทานตกอับเมื่อวาน นางยิ้มได้ใจ “เจ้าค่อยๆ ทายไปเถอะ! ขนาดเถ้าแก่ทายมาตั้งหลายปีแล้วก็ยังทายไม่ถูก หากถูกเจ้าทายได้ง่ายๆ แล้วสุราข้ายังจะขายได้อยู่อีกกระนั้นหรือ”
ใบหน้าของอวิ๋นเกอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “สุราทั้งหมดในร้านนี้เจ้าเป็นคนบ่ม?”
สวี่ผิงจวินหันหลังเดินจากไป ไม่สนคำถามของอวิ๋นเกอแม้แต่น้อย
อวิ๋นเกอขมวดคิ้วพินิจพิจารณาถึงกลิ่นหอมของสุรา เถ้าแก่เจ้าของหอสุรากับพ่อครัวได้แต่นิ่งรอฟังคำสั่ง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ เมิ่งเจวี๋ยกระซิบเรียกเบาๆ อวิ๋นเกอได้สติ รีบลุกขึ้นคำนับขอขมาเถ้าแก่เจ้าของหอสุรากับพ่อครัวทันที “ความจริงข้ามาวันนี้ เรื่องกินอาหารเป็นเรื่องรอง เหตุผลหลักคือข้าต้องการหางานทำ ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการพ่อครัวหรือไม่”
เถ้าแก่ตกใจสงสัย พิจารณาดูอวิ๋นเกอไม่วางตา ถึงแม้จะรับรู้ได้ว่าอวิ๋นเกอเข้าใจเรื่องอาหารการกินเป็นอย่างดี แต่ไม่ว่าจะมองเช่นไรก็ดูไม่ออกว่านางต้องการหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพ่อครัว
อวิ๋นเกอยิ้ม ชี้ไปที่เมิ่งเจวี๋ย “เสื้อผ้าอาภรณ์ของข้าล้วนเป็นเขาซื้อให้ ตอนนี้ข้ายังติดค้างเงินเขาอยู่เลย! เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะทำ ‘ฉางเอ๋อเหินจันทร์’ กับ ‘โจวกงคายอาหาร’ ให้พวกท่านดู หากเถ้าแก่เห็นว่าข้าทำอาหารพอกินได้ ท่านก็รับข้าไว้ แต่หากไม่ได้ พวกเราจะจ่ายเงินค่าอาหารให้”
พ่อครัวสูงวัยถลึงตาใส่เมิ่งเจวี๋ย เหมือนจะไม่พอใจที่ชายหนุ่มท่าทางมีเงินเช่นเขาปล่อยให้สตรีบอบบางประหนึ่งต้นหอมน้ำอย่างอวิ๋นเกอต้องออกมาดิ้นรนทำงานหาเงิน เมิ่งเจวี๋ยได้แต่ยิ้มเจื่อน