เหอเสี่ยวชีเองก็ไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่ใช้สายตาถามอวิ๋นเกอ อวิ๋นเกอส่ายหน้า กำชับให้เขาส่งสวี่ผิงจวินกลับบ้าน ส่วนนางรีบมุ่งหน้าไปหาเมิ่งเจวี๋ย
เมิ่งเจวี๋ยกำลังนั่งดื่มชากับบุรุษวัยสี่สิบกว่า เจ้าของใบหน้าซูบผอมแต่เปี่ยมด้วยกำลังวังชา บุคลิกงามสง่า แม้ชำเลืองเห็นอวิ๋นเกอเดินเข้ามา แต่กลับทำเหมือนมองไม่เห็นถึงสีหน้าร้อนรนของนาง ยังไม่ทันที่อวิ๋นเกอจะเอ่ยปาก เมิ่งเจวี๋ยก็ชิงยิ้มพูดขึ้นมาก่อน “อวิ๋นเกอ พวกเรารอเจ้าจนดื่มชาหมดไปสองกาแล้ว รีบไปแสดงฝีมือทำอาหารที่เจ้าชำนาญที่สุดมาสักสองสามอย่าง วันนี้ข้าได้พบกับสหายรู้ใจ ยังไงก็ต้องฉลองกันสักเล็กน้อย”
อวิ๋นเกอนิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง แต่พอมองเห็นแววตาของเมิ่งเจวี๋ยนางก็เข้าใจได้ทันที จึงรีบเก็บงำความรู้สึกร้อนรนในใจ พยักหน้าตกลงแล้วผลุนผลันวิ่งหายเข้าไปในครัวอย่างรวดเร็ว
เมิ่งเจวี๋ยใจลอยเผลอมองตามแผ่นหลังของอวิ๋นเกอไป แต่เพียงไม่นานเขาก็กลับมาได้สติ หันกลับมายิ้มให้กับบุรุษที่อยู่ตรงหน้า
เพียงชั่วเวลาสองถ้วยชา อวิ๋นเกอก็ส่งอาหารสามจานขึ้นโต๊ะ
บุรุษคนดังกล่าวกินอาหารจานหนึ่ง อวิ๋นเกอก็แจ้งชื่ออาหารออกมาเบาๆ คราหนึ่ง ยิ่งใกล้ถึงอาหารจานสุดท้ายมากเท่าไหร่ ความวิตกกังวลในใจนางก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น มือของอวิ๋นเกอกุมแขนเสื้อของตัวเองแน่น แม้แต่จะหายใจก็ยังไม่กล้า
จานหยกสีเขียวเข้ม ไม่ต่างอะไรกับท้องฟ้ายามค่ำ แต้มเล็กๆ ที่ถูกจัดวางอยู่บนจานกลายเป็นภาพท้องฟ้ายามราตรีที่ดารดาษไปด้วยดวงดาว บุรุษผู้นั้นคีบดาวดวงหนึ่งขึ้นมากัด ก่อนจะเอ่ยปากถาม “หวานอมขม ทั้งๆ ที่เห็นชัดว่าเป็นมะละกอ แต่กลับเปี่ยมด้วยรสขมของมะระ อาหารสามอย่าง จานแรกคืออาภรณ์เขียว จานที่สองคือนายพราน แล้วจานนี้เล่ามีชื่อว่าอะไร”
อวิ๋นเกอตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ดาราน้อย”
“ริบหรี่บนฟากฟ้าบูรพา สามดาราห้าดวงดาววับวาวอยู่ ฟ้ามืดมิดกองทัพเคลื่อนปราบศัตรู ทุกเช้าค่ำย่ำอยู่ตามบัญชา ด้วยชะตาฟ้าลิขิตให้ต่างกัน” บุรุษคนดังกล่าวพึมพำเบาๆ “อาภรณ์เขียว นายพราน ดาราน้อย อาหารเหล่านี้ต่างล้วนแฝงไว้ซึ่งน้ำเสียงขุ่นเคืองอาลัยหาถึงผู้จากไป แม่นางน้อย หรือญาติของเจ้ากำลังมีเรื่องเดือดร้อน ไม่ว่ามีเรื่องคับแค้นอันใด หากไม่รังเกียจก็จงเล่าออกมาเถอะ ชีวิตคนแม้ยากดีมีจนต่างกัน แต่ความยุติธรรมไม่ว่าเช่นไรก็ยังคงมีอยู่เสมอ”
อวิ๋นเกอชำเลืองตามองเมิ่งเจวี๋ย ครั้นเห็นเขาไม่แสดงอาการคัดค้าน นางก็ก้มหน้า เล่าเรื่องของหลิวปิ้งอี่ออกมาให้อีกฝ่ายฟังโดยละเอียด บุรุษวัยกลางคนฟังพลางกินอาหารฝีมือนางไปพลาง ไม่แสดงความรู้สึกอันใดออกมาแม้แต่น้อย
บุรุษตรงหน้าผู้นี้ความคิดลึกล้ำเกินหยั่ง อารมณ์ยินดีโกรธขึ้งแม้สักนิดก็ไม่เผยให้เห็น แม้แต่ยามได้ยินชื่อของผู้เป็นเขย มือที่กำลังคีบอาหารกลับไม่แม้แต่จะหยุดชะงัก
กว่าจะเล่าจบ แผ่นหลังของอวิ๋นเกอก็ท่วมไปด้วยเหงื่อเย็น
หลังฟังเรื่องของอวิ๋นเกอ แทนที่จะแสดงอาการสนใจนาง ตรงกันข้ามเขากลับยิ้มน้อยๆ หันไปถามเมิ่งเจวี๋ย “น้องชาย ในเมื่อเจ้าทายฐานะของข้าถูก ไฉนจึงกล้าปล่อยให้นางเล่าเรื่องราวพวกนี้ต่อหน้าข้าอีกเล่า”
เมิ่งเจวี๋ยรีบลุกขึ้นยืน ค้อมตัวแสดงคารวะต่ออีกฝ่าย “ใต้เท้าฮั่ว ตอนใต้เท้าเข้ามานั้น ผู้น้อยไม่ล่วงรู้ถึงฐานะของใต้เท้าจริงๆ ผู้ใดจะรู้ว่าบุรุษผู้เป็นถึงสมุหกลาโหมจะเดินเท้ามาถึงที่นี่เพียงลำพังไร้ผู้ติดตามเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังพูดคุยสนทนากับผู้น้อยประหนึ่งมิตรสหาย ดังนั้นเริ่มแรกผู้น้อยจึงเข้าใจว่าใต้เท้าเป็นเพียงนักเดินทางต่างถิ่นคนหนึ่งเท่านั้น แต่ครั้นสังเกตเห็นอากัปกิริยาของใต้เท้ายามกินดื่ม ในใจถึงได้เริ่มนึกสงสัย ยิ่งตอนเหลือบเห็นผ้าปักขุนนางในแขนเสื้อใต้เท้า ผนวกกับถ้อยวาจาของใต้เท้าในตอนแรก ผู้น้อยถึงได้เริ่มมั่นใจขึ้นอีกหลายส่วน แต่เพราะก่อนหน้านี้ผู้น้อยบังอาจร่วมนั่งดื่มชาสนทนากับใต้เท้าทำให้ผู้น้อยรู้สึกว่าบางทีอวิ๋นเกออาจพูดคุยกับใต้เท้าได้ทุกเรื่อง และใต้เท้าก็คงไม่ถือสา สามารถอภัยให้กับวาจาไม่ประสีประสาในข้อกฎหมายของนางได้เช่นกัน”