“บุตรีของซั่งกวนอันก็คือพระอัครมเหสีซั่งกวน ส่วนบิดาของซั่งกวนอันก็คือหัวหน้าขุนนางค้ำราชบัลลังก์แม่ทัพซ้ายซั่งกวนเจี๋ย หนำซ้ำยังมีสมุหกลาโหมฮั่วกวงเป็นพ่อตาอีก”
อวิ๋นเกอร้อง ‘อา’ ออกมาคำหนึ่งก็กลืนอาหารต่อไม่ลง แม่ทัพซ้ายสมุหกลาโหมอะไร นางจนปัญญาไม่อาจเข้าใจแจ่มชัดว่าฐานะของพวกเขานั้นใหญ่โตขนาดไหน แต่คำว่าพระอัครมเหสีนางกลับเข้าใจชัดแจ้ง พระอัครมเหสีซั่งกวนได้รับการเรียกตัวเข้าวังแต่งตั้งเป็นพระอัครมเหสีตั้งแต่อายุหกขวบ นั่นก็บอกชัดอยู่แล้วว่าไม่ใช่เพราะตนเอง และเพียงเท่านี้ก็เห็นได้แล้วว่าอำนาจของตระกูลที่คอยหนุนหลังพระอัครมเหสีอยู่นั้นมากมายมหาศาลขนาดไหน มิน่าสวี่ผิงจวินถึงได้ร้องไห้ ถึงได้ตัดใจขายขาดหยกประดับชิ้นนั้น หากไม่มีคนแล้ว ยังจะมีอันใดให้อาลัยอาวรณ์อีก
“แต่ว่าเมิ่งเจวี๋ย คนคนนั้นไม่ได้ถูกหลิวปิ้งอี่ฆ่าตายเสียหน่อย! หลิวปิ้งอี่ต่อให้ทำผิดกฎหมาย มากที่สุดก็แค่ทำร้ายคุณชายคนนั้นเท่านั้น พวกเรามีทางหาคนร้ายที่ฆ่าคนตายออกมาได้หรือไม่”
“หลิวปิ้งอี่เป็นหัวหน้าจอมยุทธ์พเนจรในละแวกนี้ หากคนที่ทำร้ายผู้อื่นตายเป็นลูกน้องของเขาแล้วล่ะก็ แค่ความจริงที่ว่าคนพวกนี้เห็นคุณธรรมสำคัญกว่าชีวิต เจ้าคิดว่าพวกเขาจะทนดูหลิวปิ้งอี่ตายได้กระนั้นหรือ คนที่คิดจะรับโทษแทนมีมากกว่าคนอยากมีชีวิตอยู่เสียอีก ทว่าที่พวกเขาต่างถูกทางการไล่กลับไปจนหมดนั่นก็เพราะว่าคำให้การทำให้ข้อแก้ต่างทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยช่องโหว่”
อวิ๋นเกอขมวดคิ้วครุ่นคิด “ความหมายของท่านคือ…คือ…ไม่ใช่สหายของหลิวปิ้งอี่ฆ่าคนตาย ถ้าเช่นนั้นแล้วเป็นใครกัน…คงเป็นไปไม่ได้ที่คุณชายคนนั้นจะเป็นคนร้ายฆ่าคนกระมัง นอกเสียจากว่าจะมีคนแอบ…ไม่อย่างนั้น…”
เมิ่งเจวี๋ยพยักหน้าชม “แม้ไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง หลิวปิ้งอี่ไม่ใช่ไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของคุณชายหลี่ เขาถึงได้พยายามควบคุมอารมณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อีกฝ่ายกลับเจตนาหาเรื่อง บางทีหลิวปิ้งอี่เองอาจไม่รู้เลยสักนิดว่าทำไม แต่อย่างน้อยก็น่าจะเข้าใจอยู่ก่อนแล้วว่าไม่มีทางเป็นเพราะไก่ชนตัวเดียวแน่ ยามจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ทรงครองราชย์ เพราะทำสงครามบ่อยครั้งจึงแก้ภาษีจากอัตราหนึ่งต่อสามสิบที่ถูกกำหนดไว้ในรัชสมัยขององค์จักรพรรดิเหวินตี้มาเป็นหนึ่งต่อสิบเอ็ด ด้วยอัตราภาษีที่สูงขึ้นประกอบกับกองกำลังทหารที่ไปร่วมรบขาดแคลนทำให้ปลายรัชสมัยขององค์จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้แผ่นดินว่างเปล่า ประชากรลดไปกว่าครึ่ง บ้านเรือนส่วนใหญ่ร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย เพื่อให้ประชาชนได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข จักรพรรดิองค์ปัจจุบันจึงทรงประกาศปรับลดภาษี กลับไปใช้อัตราภาษีเดิมที่เคยกำหนดไว้ในรัชสมัยองค์จักรพรรดิเหวินตี้ แต่ขุนนางในราชสำนักกลับมีความคิดเห็นขัดแย้ง แบ่งเป็นหลายกลุ่มหลายก๊วน เช่นกลุ่มเมธีที่ถึงพร้อมด้วยคุณธรรมปัญญาที่มีฮั่วกวงเป็นหัวหน้า กลุ่มขุนนางระดับกลางที่มีซางหงหยางเป็นหัวหน้า กลุ่มขุนนางชั้นสูงที่มีซั่งกวนเจี๋ยเป็นหัวหน้า…”
ดวงตาของเมิ่งเจวี๋ยก้มต่ำ จ้องมองดูถ้วยชาในมือ ใจเหมือนจมดิ่งอยู่ท่ามกลางอารมณ์ครุ่นคิดของตนเอง
เดี๋ยวเขาก็พูดถึงจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ เดี๋ยวเขาก็พูดถึงจักรพรรดิฮั่นเหวินตี้ อีกเดี๋ยวก็พูดถึงเรื่องภาษี อวิ๋นเกอเข้าใจได้แค่เพียงน้อยนิด ที่เหลือมากกว่าครึ่งนางไม่อาจฟังเข้าใจ
ถึงจะคล้ายไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องของหลิวปิ้งอี่แม้แต่น้อย หากนางก็รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ดังนั้นจึงพยายามตั้งอกตั้งใจฟัง
สายตาของเมิ่งเจวี๋ยที่มองดูอวิ๋นเกอนั้นเหมือนกำลังครุ่นคิด นัยน์ตาดำขลับวับวาวเป็นประกายราวกำลังร้องขออะไรบางอย่าง ขณะเดียวกันก็เหมือนกำลังพยายามเปิดเผยบางสิ่งให้นางได้รู้
แต่อวิ๋นเกอกลับไม่เข้าใจ นางมองเมิ่งเจวี๋ยด้วยความรู้สึกเสียใจและนึกละอาย “ขอโทษด้วย ข้าฟังเรื่องภาษีเข้าใจแค่นิดหน่อยเท่านั้น ส่วนเรื่องกลุ่มอะไรพวกนั้นข้าไม่เข้าใจเลยสักนิด”