แม้จะผ่านไปครู่ใหญ่ แต่สวี่ผิงจวินก็ยังคงคิดไม่ตก และเพราะในยามนี้พวกนางมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน สวี่ผิงจวินจึงยอมเล่าความจริงออกมา “ข้าไปโรงรับจำนำมา ก่อนหน้านี้ข้าจำเป็นต้องใช้เงิน ถึงได้เอาหยกประดับที่ปิ้งอี่ฝากไว้ไปจำนำ ถึงแม้จะไม่ใช่ของดีของวิเศษอะไร แต่นั่นก็เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ครอบครัวของปิ้งอี่เหลือทิ้งไว้ให้เขาได้ระลึกถึง ดังนั้นถึงแม้จะรู้ว่าจำนำแบบขายขาดไป ไม่อาจซื้อมันกลับได้อีก ข้าก็ยังไม่ยอมแพ้ คิดจะไปลองคุยกับเถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำดูสักครั้ง แต่เจ้าทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าเดินเข้าไปได้ไม่ทันไร พอเห็นข้าเท่านั้น เถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำก็รีบเดินตรงเข้ามาต้อนรับ ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ทันที่ข้าจะเอ่ยปาก เขากลับบอกว่าหยกประดับของข้าขายไม่ออก หากข้ายอมคืนเงินให้เขาเท่ากับเงินที่เอาไป เขาก็ยินดีจะคืนหยกประดับให้ ข้าบอกกับเถ้าแก่เจ้าของโรงรับจำนำว่าให้เก็บหยกประดับไว้ก่อน ข้าจะรีบไปรวบรวมเงิน แต่เขากลับคืนหยกประดับให้ข้า บอกว่าแค่ข้าประทับรอยนิ้วมือลงบนหนังสือใช้หนี้ก่อนเท่านั้นก็ใช้ได้แล้ว ส่วนเงินรอข้ารวบรวมได้แล้วค่อยคืนให้เขาก็ได้ อวิ๋นเกอ เจ้าไม่คิดหรือว่าเรื่องนี้ออกจะประหลาดเกินไปหน่อย”
อวิ๋นเกอแอบขมวดคิ้วนึกโมโหเถ้าแก่โรงรับจำนำผู้นั้น เป็นถึงคนทำมาค้าขาย ไฉนถึงทำตัวราวกับเด็กเล่นขายของเช่นนี้
แต่ถึงกระนั้นอวิ๋นเกอก็ได้แต่พูดน้ำเสียงเบิกบาน “ไม่เห็นจำเป็นต้องคิดมากอะไร ไถ่หยกประดับกลับมาได้ก็ดีแล้วมิใช่หรอกหรือ! เงินเขาก็ไม่ได้ให้มาเปล่าๆ พี่สวี่เองก็ไม่ได้ติดค้างอะไรเขา ยิ่งไปกว่านั้นหยกก็เป็นของของพี่อยู่ตั้งแต่แรก”
สวี่ผิงจวินยิ้มส่ายหน้า “จะว่าไปก็ใช่ ได้หยกประดับกลับมาก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะบอกกับปิ้งอี่เช่นไร อวิ๋นเกอ ไม่รู้ว่าเจ้าพอจะ…”
อวิ๋นเกอยิ้มตอบตกลง “ได้”
สวี่ผิงจวินยิ้มเบิกบาน “ขอบใจมาก น้องพี่ ถึงจะรู้ว่าเจ้าไม่ขาดเงิน แต่ยังไงข้าก็คงต้องพูดจาระคายหูบอกให้เจ้ารู้ไว้ก่อน เงินข้าคงคืนให้เจ้าได้ไม่เร็วนัก! แต่ไม่ว่าเช่นไรข้าก็จะค่อยๆ ทยอยจ่ายคืนให้แน่”
ไม่ขาดเงิน?
เฮ้อ! นางยังไม่ได้ลองคิดกับเมิ่งเจวี๋ยดูอย่างละเอียดเลย ไม่รู้ว่าเงินพวกนั้นเมื่อไหร่นางถึงจะใช้คืนเขาได้หมด
วันหน้าคงต้องหัดคิดคำนวณให้รอบคอบ รู้จักใช้สอยอย่างประหยัดอย่างพี่สวี่บ้างแล้ว
อวิ๋นเกอเอียงคอแลบลิ้นใส่สวี่ผิงจวิน “บอกวิธีการหมักเหล้าของท่านให้กับข้า แล้วข้าจะไม่เอาเงินคืน”
สวี่ผิงจวินยิ้มส่งเสียงประชดออกมาคำหนึ่ง “ฝันไปเถอะ! ความลับประจำตระกูล พันตำลึงทองก็ไม่ขาย!” นางเดินไปที่หน้าประตูห้องครัว มองออกไปด้านนอกอยู่ครู่หนึ่ง ครั้นมั่นใจแล้วว่าไม่มีคนอื่น สวี่ผิงจวินก็เดินกลับไปยืนอยู่ข้างๆ อวิ๋นเกอ “ความจริงข้าก็แค่หลอกชาวบ้านเท่านั้น พ่อข้าแม้จะดื่มเหล้าเก่ง แต่หมักเหล้าไม่เป็น เหล้าของข้าก็แค่เหล้าเกาเหลียงธรรมดาๆ เท่านั้น เพียงแต่ตอนหมักข้ามีเคล็ดลับนิดหน่อย นั่นก็คือแทนที่จะหมักในไหดินเผา ข้ากลับหมักมันไว้ในกระบอกไม้ไผ่แก่ๆ พอเปิดผนึกเหล้าเกาเหลียงก็จะมีกลิ่นหอมสดชื่นของไผ่แฝงอยู่”
อวิ๋นเกอยิ้ม “อา! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ข้าเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่าน่าจะเป็นกลิ่นไผ่ ข้าเคยลองเอาใบไผ่ไปแช่เหล้าดู ถึงเหล้าจะมีกลิ่นหอมสดชื่นของไผ่ แต่เพราะอายุของใบไผ่สั้น รสชาติฝาดขมของมันจึงเจือลงไปในเหล้าอย่างรวดเร็ว หากใช้น้ำค้างบนใบไผ่ แม้รสชาติจะอ่อนกว่าของพี่สวี่ แต่ก็นับว่ายังพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่วิธีทำออกจะเปลืองแรงเกินไปหน่อย ทำเองดื่มเองยังพอไหว ให้เอาไปขายคงไม่คุ้ม นึกไม่ถึงว่าแท้ที่จริงจะง่ายดายเช่นนี้…พี่สวี่ ท่านนี่ฉลาดจริงๆ!”
“ข้าเองก็อยากรับคำชมของเจ้า น่าเสียดายคนที่คิดวิธีการนี้ไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นปิ้งอี่ ถึงแม้เขาจะไม่ชอบทำงานใช้แรงอย่างงานในไร่นาหรืองานบ้านต่างๆ แต่ขอเพียงเป็นสิ่งที่เขาเคยได้สัมผัส เขาก็สามารถหาวิธีเปลี่ยนงานยุ่งยากพวกนั้นให้ง่ายดายขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์”