บทที่ 4
ระยะนี้เดือนเดือนหนึ่งมักมีอยู่วันสองวันที่จินเฟิ่งไม่อาจข่มตาหลับ สาเหตุมิใช่เพราะการมาเยี่ยมเยือนอยู่ทุกเดือนของแม่สื่อสูงศักดิ์ผู้นั้น แต่ที่จินเฟิ่งมิอาจหลับได้สนิท กลับมีสาเหตุมาจากต้วนอวิ๋นจั้งผู้เป็นองค์จักรพรรดิ
นับแต่ ‘ร่วมทุกข์ร่วมสุข’ ร่วมวิ่งไปกลับประตูเมืองสามรอบกับต้วนอวิ๋นจั้งเป็นต้นมา ก็ไม่รู้ว่าเส้นประสาทเส้นไหนของพระพันปีเกิดเคลื่อนผิดตำแหน่ง ถึงได้ทรงมีรับสั่งให้หนี่ว์ซื่อ* จัดให้นางเข้าห้องหอทุกเดือน เดือนละสองวัน
ด้วยเหตุนี้จินเฟิ่งจึงได้แต่ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น
ความจริงแล้วจินเฟิ่งกับต้วนอวิ๋นจั้งต่างล้วนโง่เขลาไม่ประสีประสาอันใดกับเรื่องเข้าหอนี้สักนิด
ในแต่ละเดือนจะมีสองวันที่ต้วนอวิ๋นจั้งจะถูกนางกำนัลพาตัวมาที่ตำหนักเซียงหลัว หลังจากถูกเปลื้องฉลองพระองค์จนเหลือเพียงชั้นในต่อหน้าจินเฟิ่งเสร็จ เขาก็จะปีนขึ้นไปนอนอยู่บนตั่งเตียงของนางอย่างเปิดเผย ยึดผ้าห่มไว้เพียงคนเดียว ก่อนจะไปเล่นหมากล้อมอยู่กับโจวกง ส่วนจินเฟิ่งก็ทำได้เพียงระแวดระวังรอจนอีกฝ่ายหลับสนิท นางถึงได้ค่อยๆ เลิกชายผ้าห่มขึ้น สอดตัวอ้วนกลมของตัวเองเข้าไปขดอยู่ที่มุมเตียง
เดิมเรื่องนี้ก็มิใช่ปัญหาใหญ่อะไร แท่นบรรทมของอัครมเหสีใหญ่พอที่จะให้คนห้าหกคนล้อมวงเล่นไพ่นกกระจอกอยู่บนนั้นได้สบายๆ อยู่แล้ว แต่ที่น่าโมโหก็คือคนถ่อยรายนี้กลับนอนได้ย่ำแย่เป็นที่สุด! หลังจินเฟิ่งถูกถีบลงจากเตียงเจ็ดแปดครั้ง ในที่สุดนางก็ยอมรับชะตากรรม เลิกล้มความคิดที่จะปีนกลับขึ้นเตียงอีก
หลังจากนอนอยู่บนพื้นเย็นเยียบปานน้ำแข็งสองวัน อัครมเหสีก็รู้สึกกลัดกลุ้มพระทัยเหลือกำลังรับ
“ฝ่าบาท ไฉนมิทรงเสด็จกลับไปประทับที่พระตำหนักเซวียนหลัวของพระองค์เองเล่าเพคะ” วันนี้จินเฟิ่งตัดสินใจรวบรวมความกล้า เอ่ยปากพูดถึงความปรารถนาที่เก็บซ่อนลึกอยู่ใจเนิ่นนานออกมา
ต้วนอวิ๋นจั้งชำเลืองมองนางด้วยสายตาเย็นชาปราดหนึ่ง “เจ้าคิดว่าเรายินดีกระนั้นหรือ หากมิใช่เพราะนี่เป็นพระราชเสาวนีย์ของเสด็จแม่แล้วล่ะก็ เราไม่มีทางมานอนร่วมเตียงเดียวกับเจ้าแน่” เขาเลิกคิ้ว “แต่จะว่าไปนอนสองคนหรือนอนคนเดียวก็ไม่เห็นจะมีอะไรแตกต่าง”
จินเฟิ่งทั้งเป็นทุกข์ทั้งโมโห นางลอบคิด มันก็แน่อยู่แล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบท่านก็นอนอยู่บนเตียงคนเดียวตลอดอยู่แล้วมิใช่หรืออย่างไรกัน
“แต่ว่า” ต้วนอวิ๋นจั้งตรัสขึ้น “หากเจ้าทำให้เสด็จแม่เปลี่ยนพระทัยได้ เราจะคืนตั่งเตียงให้กับเจ้า”
“หม่อมฉัน…จะทำให้พระพันปีเปลี่ยนพระทัยได้เช่นไรกัน”
“เรื่องนี้ข้าไม่สน อัครมเหสี เรื่องนี้คงต้องดูที่ความสามารถของเจ้าแล้ว” องค์จักรพรรดิทรงวางพระองค์ราวกับตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
จินเฟิ่งก็ตระหนักรู้ได้ทันที เรื่องที่มีเท้าถีบนางตกจากเตียงตลอดทุกค่ำคืนนั้นต้องเป็นเรื่องจงใจแน่ๆ
เจ้าเด็กบ้านี่ อายุยังน้อยแท้ๆ นึกไม่ถึงว่าจะเจ้าเล่ห์เพทุบายได้ถึงเพียงนี้แล้ว
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเสด็จมากลางดึกกลางดื่น ก็เพียงเพื่อแทะเมล็ดแตงในตำหนักของหม่อมฉันให้เกลี้ยงเท่านั้นหรือเพคะ” จินเฟิ่งปากสั่น เมล็ดแตงที่นางทุ่มเทกายใจเรียกให้ห้องเครื่องเอาไปผัดกับดอกกุ้ย โป๊ยกั๊ก และหุยเซียง ถูกองค์จักรพรรดิขบกินจนเกลี้ยงภายในคราวเดียว
ต้วนอวิ๋นจั้งจุปาก “ไม่รู้ทำไม เราถึงได้รู้สึกว่าเมล็ดแตงในตำหนักของอัครมเหสีนั้นหอมเป็นพิเศษ ตั่งเตียงของเจ้าหรือก็นอนสบายยิ่งนัก หรือว่า…วันนี้เรามานอนที่ตำหนักของอัครมเหสีดี”
จินเฟิ่งมีใบหน้าเขียวปั้ดขึ้นมาทันควัน
ต้วนอวิ๋นจั้งยิ้มพูด “อัครมเหสีเองก็รีบพักผ่อนเถอะ” ก่อนจะปัดฉลองพระองค์มังกร เดินทางกลับตำหนัก
จินเฟิ่งนั่งเป็นทุกข์อยู่ริมตั่งเตียง ถามซู่ฟาง “เจ้าว่า ฝ่าบาทกับเรา ทำไมถึงต้องนอนร่วมเตียงกัน”