แม้จะไม่นึกยินดี แต่นางไม่กล้าขัดพระราชเสาวนีย์ของพระพันปี จึงได้แต่กล่าวอำลาราชครูเว่ยอาจารย์ผู้เฒ่าที่แสนน่าเอ็นดูของตน และหันไปศึกษาหาความรู้จากอาจารย์พระพันปีแทน
จินเฟิ่งคิดว่าต่อให้มิได้เรียนหนังสือกับพวกต้วนอวิ๋นจั้งและต้วนอวิ๋นจ้ง แต่อยู่ในวังหลวงยังไงเสียนางก็ย่อมมีโอกาสได้พบราชครูเว่ยแน่ ถึงตอนนั้นนางมีคำถามอันใดก็ย่อมสามารถถามเขาได้อยู่วันยังค่ำ แต่จินเฟิ่งไม่อาจนึกถึงว่าผ่านไปเพียงเดือนเดียว ราชครูเว่ยก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งราชครู พร้อมถูกขับออกจากวังหลวง
สาเหตุก็ด้วยเพราะราชครูเว่ยไปล่วงเกินเวยกั๋วกงหลิวเซีย พระสสุระขององค์จักรพรรดิเข้า
เมื่อหลายวันก่อน เวยกั๋วกงได้ถวายรายงานยาวเหยียดต่อหน้าขุนนางราชสำนัก เนื้อความประกอบด้วยตัวอักษรนับพัน ความหมายโดยรวมๆ ก็คือแผ่นดินยามนี้มั่งคั่งบริบูรณ์ ชาวบ้านต่างล้วนร่ำรวยเงินทอง สมควรเพิ่มภาษีขึ้นสักหนึ่งส่วน โดยเฉพาะเขตเจียงหนานที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีประชากรอาศัยรวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่อปีมากกว่าสิบตำลึง ควรจ่ายภาษีเพิ่มหนึ่งส่วน
เพิ่มภาษีเพื่อประโยชน์อันใด แท้ก็เพื่อใช้ในการเพิ่มพูนอาวุธยุทโธปกรณ์
เรื่องเพิ่มภาษีนี้ นับแต่อดีตเป็นต้นมาไม่ว่าจะนักประวัติศาสตร์หรือชาวบ้านร้านตลาด ต่างก็เคียดแค้นชิงชังพร้อมใจก่นด่าเป็นเสียงเดียวกันทั้งสิ้น สำหรับคนเป็นขุนนางนั้น คนที่กล้าทูลเสนอให้เพิ่มภาษีนั้น ในราชสำนักไม่เคยมีมาก่อน
พวกชาวบ้านต่างมีชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบาก กว่าจะดีขึ้นบ้างในช่วงสองสามปีนี้ก็มิใช่ง่าย หากเรียกเก็บภาษีเพิ่ม อีกทั้งยังเป็นการเรียกเก็บภาษีเพื่อการสงคราม เรื่องนี้ไม่ว่าจะพูดเช่นไรผู้คนก็คงยากที่จะยอมรับ
แต่นโยบายเรียกเก็บภาษีเพิ่มกลับมีการดำเนินการจากส่วนกลางไปยังสถานที่ต่างๆ อย่างรวดเร็ว มิใช่ด้วยเพราะเหตุผลอื่นใด นอกจากเหตุผลที่ว่านโยบายนี้เวยกั๋วกงเป็นผู้ร่างขึ้น
พระพันปีกับองค์จักรพรรดิแม้จะไม่เห็นด้วยกับการเรียกเก็บภาษีเพิ่ม แต่ก็ไม่อาจทำอันใดได้
ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่วัน ตอนอยู่ในห้องเรียน ราชครูเว่ยก็บังเอิญเอ่ยถึงปัญหาการเรียกเก็บภาษีขึ้นพอดี เขาอดไม่ได้ที่จะชี้จุดบกพร่องของสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ครั้นติดลมขึ้นมา แม้แต่มารยาทอันใดก็ไม่สนอีกต่อไป เขาก็โอภาปราศรัยทักทายมารดาของเวยกั๋วกงขึ้นมาทันที
ต่อมาภายหลัง คำพูดพวกนี้ก็ลอยละล่องไปถึงหูเวยกั๋วกงอย่างไม่มีตกหล่น
ดังนั้นวันถัดมา เวยกั๋วกงก็ทูลขอให้องค์จักรพรรดิทรงมีราชโองการปลดเว่ยเซียงโจวออกจากตำแหน่งราชครู พร้อมสั่งห้ามมิให้เขากลับเข้าวังหลวงอีกชั่วชีวิต
แม้ต้วนอวิ๋นจั้งจะเก็บหนังสือกราบทูลที่ร้อนลวกมือนั้นไว้ล่างสุด แต่ยังไงเสียสุดท้ายเขาก็ยังคงต้องตัดสินใจอยู่ดี ส่วนพระพันปีถึงจะทรงนั่งฟังอยู่หลังม่าน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่พระนางจะเสนอความคิดเห็นใดๆ สอดแทรกงานบริหารราชการแผ่นดินได้
ต้วนอวิ๋นจั้งคิดไปคิดมา จึงทำได้เพียงบอกกับเสี่ยวซุนจื่อขันทีรับใช้ข้างกาย “มีราชโองการออกไป เรียกตัวหล่งเยวี่ยอ๋องเข้าวัง!”
ความจริงแล้วต้วนหล่งเยวี่ยมีบรรดาศักดิ์ประจำตัว บรรดาศักดิ์ของเขาคือซื่ออ๋อง แต่คำว่า ‘ซื่อ’ นั้นทุกคนไม่ชอบอ่านและก็ไม่ชอบฟัง ดังนั้นซื่ออ๋องจึงถูกเรียกเป็นหล่งเยวี่ยอ๋องแทน หล่งเยวี่ยอ๋องผู้นี้เป็นอ๋องจอมเอ้อระเหยโดยแท้ เขาพำนักอยู่ที่เจียงหนานครึ่งปี สามวันก่อนเพิ่งเดินทางกลับเข้าเมืองหลวง หลังกลับมาถึง แทนที่จะเข้าวังมาถวายพระพรพระพันปีหรือองค์จักรพรรดิ เขากลับนอนหลับอย่างสติเลอะเลือน ครั้นหัวถึงหมอนก็หลับยาวถึงสามวันสามคืนเต็ม