บรรทัดกำราบที่เอาไว้ใช้ลงโทษนักเรียนของราชครูเว่ยก็ไม่เหมือนกับของผู้อื่น บรรทัดกำราบของเขาถูกตีขึ้นจากโลหะสำริด ด้านทั้งสองข้างคมเป็นพิเศษ ดังนั้นผู้ที่ถูกตีย่อมรู้สึกเจ็บปวดมิใช่น้อย ว่ากันว่าบรรทัดกำราบพระราชทานเล่มนี้อดีตองค์จักรพรรดิทรงเป็นผู้ประทานให้ บนใช้ตีทรราช ล่างใช้ตีขุนนางกังฉิน ตรงกลางยังสามารถใช้ตีแมลงวันได้ด้วย
องค์จักรพรรดิต้วนอวิ๋นจั้งแม้จะไม่ได้จัดว่าเป็นทรราช แต่ภายในหนึ่งวันก็ยังคงถูกราชครูเว่ยตีเข้าถึงหกเจ็ดครั้ง ก็ใครใช้ให้ต้วนอวิ๋นจั้งไปนั่งอยู่ตรงกลางพอดีเล่า ว่ากันตามนิสัยแล้ว พระอนุชาต้วนอวิ๋นจ้งซุกซนกว่าต้วนอวิ๋นจั้งอยู่ประมาณหนึ่ง แต่เพราะหนึ่งทรงเป็นคนหัวอ่อน ดังนั้นหลังจากถูกตีเข้าสองสามครั้งก็กลับกลายเรียบร้อยขึ้นมาทันที ส่วนต้วนอวิ๋นจั้งนั้นนิสัยดื้อรั้นหัวแข็ง ยิ่งตีก็ยิ่งแข็งกร้าว สองเพราะราชครูเว่ยทรงฝากความหวังมากมายไว้กับโอรสสวรรค์องค์ปัจจุบัน เมื่อยิ่งรักมากก็ย่อมต้องกวดขันมากเป็นพิเศษ
เป็นจักรพรรดิ ช่างน่าสงสารแท้
การเข้าเรียนวันแรกของจินเฟิ่งไม่ต่างอะไรกับการชื่นชมทัศนียภาพ นางรู้สึกว่าทุกสิ่งอย่างล้วนแปลกใหม่น่าสนใจ เชื้อพระวงศ์น้อยทั้งชายหญิงเหล่านี้ต่างเก็บกดอยู่ในวังหลวงกันเป็นเวลาช้านาน เมื่อเทียบกับเด็กที่อยู่นอกวังหลวงแล้วจึงออกจะซุกซนกว่าอยู่หลายส่วน ทำราชครูเว่ยโมโหจนนั่งเท้าคาง นานๆ ถึงจะถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง
จินเฟิ่งที่นั่งอยู่มุมห้องหยิบเอาหนังสือ ‘สาส์นโบราณ’ ขึ้นอ่านอย่างละเอียดพลางคิด เด็กผู้ชายวัยนี้ส่วนมากล้วนนั่งไม่ติดเก้าอี้ สำหรับพวกเขาแล้วเก้าอี้ดูราวกับมีต้นชังเอ่อร์* ขึ้นเต็มไปหมด
พลางคิดอยู่ดีๆ จู่ๆ นางก็หลุดขำพรืดหนึ่งออกมา คนสูงศักดิ์พวกนี้คงไม่รู้กระมังว่าชังเอ่อร์คืออะไร วันหน้านางจะเอาเข้ามาปลูกในตำหนักเซียงหลัวสักต้น
บังเอิญที่เสียงร้องโอดโอยของต้วนอวิ๋นจ้งในห้องเรียนเพิ่งดังขึ้นไม่นาน ครั้นเสียงร้องดังกล่าวสงบลง เสียงหลุดหัวเราะดัง ‘พรืด’ นั้นจึงฟังดูกระจ่างชัดเป็นพิเศษ
ราชครูเว่ยสีหน้าเคร่งขรึมเดินตรงดิ่งเข้ามารวดเร็ว อาภรณ์ด้านหลังโบกสะบัดราวกับฟองคลื่นสีขาว “อัครมเหสีมีข้อคิดเห็นอันใดหรือ”
จินเฟิ่งตาค้าง “มิใช่ หากแต่คำพูดของท่านอาจารย์เมื่อครู่ลึกล้ำยิ่งนัก ด้วยเพราะตื่นเต้นเกินไปหน่อย เราเลยอดร้องชื่นชมออกมามิได้” นางก้มหน้า
ราชครูเว่ยยิ้มหยัน “อัครมเหสีทรงได้ยินคำพูดลึกล้ำประโยคใด”
ทุกคนต่างพากันหันหน้ามามองดูเฮยพั่งตัวน้อยที่กำลังขดอยู่มุมห้องด้วยสายตารื่นเริงไปกับโชคร้ายของนาง
“ท่านอาจารย์ ที่ท่านพูดมาทั้งหมดล้วนลึกล้ำ แต่หากจะให้ระบุแน่ชัดว่าประโยคไหน ศิษย์คงยากจะบอกได้”
“พรืด” มีคนหลุดขำ
ราชครูเว่ยขยับเท้าเข้ามาใกล้ “อัครมเหสีทรงรู้สึกว่าลึกล้ำที่ใด”
จินเฟิ่งถอนหายใจ “ท่านอาจารย์ ในเมื่อลึกล้ำย่อมทำได้เพียงใช้ใจสัมผัส มิอาจเอ่ยปากกล่าว เกรงก็แต่ว่าเมื่อศิษย์พูดออกไป ความลึกล้ำนั้นก็จะหายลับดับสลายไปราวกับเมฆหมอก เช่นนี้แล้วจะเป็นการดีได้เช่นไร”
รอยดอกเบญจมาศที่หางตาของราชครูเว่ยบิดเกร็งจนแทบจะกลายเป็นก้นหอย
ครั้นเห็นมือที่ถือบรรทัดกำราบพระราชทานกระชับแน่นอีกครั้ง จู่ๆ ต้วนอวิ๋นจั้งที่นั่งอยู่แถวหน้าก็ผุดลุกขึ้นยืน “ท่านอาจารย์”
ราชครูเว่ยกับจินเฟิ่งต่างหันมองกลับไปด้วยความประหลาดใจ
“ท่านอาจารย์ เรารู้สึกว่า ‘เกิดมาก็สุขสบาย ไม่รู้จักความยากลำบากของการเก็บเกี่ยว’ ที่ท่านพูดเมื่อครู่ไม่อาจเรียกว่าลึกล้ำได้ เหล่าเชื้อพระวงศ์ทุกยุคทุกสมัย มีผู้ใดบ้างที่ไม่ ‘เกิดมาก็สุขสบาย’ หรือว่าคนที่ไม่เคยทำนาเก็บเกี่ยวพืชผลจะไม่รู้ว่าควรปกครองบ้านเมืองเช่นไร เรารู้สึกว่าคำพูดของโจวกง* นี้เป็นการข่มขู่เฉิงอ๋อง เป็นการหยั่งเชิงหมายให้เฉิงอ๋องออกห่างจากอำนาจก็เท่านั้น”