บทนำ
ฉันจะไม่ยอมแพ้
หญิงสาวบอกตัวเองด้วยสติอันเลือนราง รู้สึกเหมือนจะบ่นพึมพำออกไปมากมายตามที่ใจคิด แต่กลับไม่มีสิ่งใดหลุดลอดออกจากปาก ท่ามกลางความเงียบงันได้ยินเพียงเสียงหอบถี่กระชั้นของตัวเอง เรี่ยวแรงที่เหลือเพียงพอแค่หายใจเข้าออกเท่านั้น แม้อยากจะสูดลมหายใจเข้าแรงๆ ให้ออกซิเจนชุ่มปอดแต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะหน้าอกหนักอึ้งราวกับถูกบางสิ่งหนาหนักทับเอาไว้ทั้งที่บนตัวมีเพียงผ้าห่มผืนเดียวเท่านั้น
ปลายนิ้วมือเรียวขยับหมายจะเอื้อมไปเปิดโคมไฟที่หัวเตียง หากแขนกลับไม่อาจเขยื้อนตามใจคิด สุดท้ายก็ต้องละความพยายาม…ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงกุกกักอยู่บริเวณประตูห้องนอน
เป็นเขาใช่ไหม คนที่เธอคิดถึงอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกคนนั้น
ชายหนุ่มหมุนลูกบิดประตูด้วยความเร่งรีบจนสองมือสั่นเทา…ร้อนใจเพราะการยืนอยู่ด้านนอกเช่นนี้กลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นบางอย่างแทรกซึมผ่านช่องประตู เป็นกลิ่นเหม็นไหม้ที่เหมือนจะอบอวลอยู่ภายในห้องมานาน ครั้นประตูบานใหญ่แสนหนักอึ้งในความรู้สึกเปิดอ้า กลิ่นนั้นก็ยิ่งคละคลุ้งพุ่งออกมา เมื่อหลงสูดเข้าไปโดยไม่ทันตั้งตัวแล้วทำเอารู้สึกอยากอาเจียนขึ้นมาทันที
สัญชาตญาณระวังภัยของเขาเริ่มทำงานเต็มที่เพราะรู้ได้ว่ามี ‘บางสิ่งที่ไม่ปกติ’ อยู่ภายในนั้น
ภายในห้องไร้ซึ่งแสงไฟจึงทำให้บรรยากาศดูเลือนราง ราวกับยืนอยู่ในค่ำคืนที่มืดมิดไม่มีแม้แต่แสงจันทร์ส่อง ร่างสูงใหญ่เอื้อมมือไปเปิดไฟในห้องโดยอัตโนมัติ ปรากฏแสงไฟสว่างวาบขึ้นมาทันทีพร้อมกับที่เขาได้ ‘เห็น’ ต้นเหตุของกลิ่นเหม็นไหม้ตลบอบอวลนั้นเอง!
เรือนร่างบอบบางทอดกายอยู่บนเตียงอย่างสงบนิ่ง มีผ้าห่มคลุมร่างเอาไว้ให้เห็นเพียงใบหน้า ช่วงอก และท่อนแขนเรียวทั้งสองข้างที่โผล่พ้นผ้าออกมา ให้ความรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายจะสามารถจมหายไปในที่นอนหนานุ่มได้อย่างไรอย่างนั้น…ทว่ากลิ่นเหม็นอันโดดเด่นนั้นกลับไม่ได้มาจากตัวเธอ มันมาจากเงาดำทะมึนที่คร่อมทับอยู่บนหน้าอกต่างหาก
คนมองอยากจะให้คำจำกัดความมันว่าเป็นโครงกระดูก แม้จะไม่ใช่โดยสิ้นเชิงทว่าก็ไม่ต่างอะไรเลย เพราะผิวเนื้อล้วนไหม้เกรียม…ที่พอเหลืออยู่ก็ติดกระดูกเป็นตะปุ่มตะป่ำ บางส่วนที่ไร้เนื้อหนังยังเห็นกระดูกขาวๆ โผล่ออกมา
ร่างดำเป็นตอตะโกนั้นนั่งทับหญิงสาวเอาไว้ มือทั้งสองข้างที่เหลือแต่ข้อกระดูกกลับมีเล็บยาวงอกออกมากดท่อนแขนทั้งสองข้างของคนที่นอนอยู่บนเตียง ชายหนุ่มเห็นภาพนั้นแล้วต้องรีบหลับตาเพื่อข่มกลั้นโทสะ เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งจึงประสานสายตากับนัยน์ตาแดงก่ำซึ่งเรืองรองดั่งลูกไฟเล็กๆ คู่หนึ่ง
แต่ใครเลยจะคาดคิด…เจ้าของดวงตาสีแดงมีท่าทีผงะไปในทันทีทันใด คล้ายดั่งพานพบกับอะไรบางอย่างที่เปี่ยมพลังจนน่ากลัวเสียยิ่งกว่าภูตผีเช่นมันเสียอีก
“ออกไป!”
น้ำเสียงเปี่ยมอำนาจตวาดก้อง วินาทีที่เจ้าตัวเอ่ยประโยคนั้นพลันบังเกิดแสงสีขาวกระจ่างพุ่งออกไปโดยที่คนพูดไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ ก่อนจะกระแทกเอาโครงกระดูกที่เป็นสีเขม่ากระเด็นกระดอนตกจากเตียงไป บางสิ่งที่ไร้ชีวิตทำท่าจะถอยจากด้วยความหวาดผวาแต่ก็ต้องชะงักเมื่อนึกได้ว่าหากถอยก็เท่ากับต้องเผชิญแรงเกรี้ยวกราดจากผู้ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคนตรงหน้านี้หลายเท่านัก
พริบตาต่อมา…เงาร่างดำทะมึนพุ่งตัวเข้ามาหาเรือนกายแกร่งด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มยกแขนขึ้นป้องกันด้วยสัญชาตญาณแล้วปัดเงานั้นออกไป วิญญาณร้ายสัมผัสร่างกายเขาได้เพียงแผ่วๆ เสียงกรีดร้องของมันก็ดังโหยหวนขึ้นมาอย่างยาวนานราวกับเจ็บปวดและทรมานอย่างถึงที่สุด
น่าเสียดาย…มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน
โครงกระดูกสีดำถูกปัดกระเด็นไปทางมุมห้องเพียงแวบเดียวแล้วมันก็หายไป หลงเหลือเพียงกลิ่นเหม็นจางๆ ร่างสูงรีบเดินไปที่เตียงนอนเพื่อให้เห็นหญิงสาวชัดเจนขึ้น เมื่อฝ่ามือสัมผัสที่แก้มและหน้าผากอีกฝ่ายก็รู้สึกถึงความร้อนจัด เจ้าของวงหน้ารูปไข่ที่ดูซูบลงเป็นอย่างมากเปิดเปลือกตาขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ครั้นเห็นว่าเป็นใครที่บุกเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้ก็บีบเค้นเสียงให้หลุดลอดออกมาอย่างอ่อนแรง
“ช่วย…ด้วย”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังมีสติรับรู้ที่ดีอยู่ หัวใจของเขาที่เต้นรัวเร็วเพราะความกดดันจึงผ่อนคลายลง บอกเสียงเข้มด้วยหางเสียงเจือแววกรุ่นโกรธ
“ผมก็ช่วยคุณมาตั้งนานแล้วไง…”
ริมฝีปากบางที่แสนซีดเซียวคลี่ยิ้มออกมาน้อยๆ
“ตั้งแต่นี้ต่อไปผมขอสั่งห้ามคุณอยู่ห่างจากผมแม้แต่วินาทีเดียว”
พูดจบจึงช้อนเรือนร่างบอบบางไว้แนบอก โอบอุ้มอีกฝ่ายออกไปจากห้องโดยไม่ทันได้ยินถ้อยคำแผ่วเบาที่ปลิวมากับสายลม
“สูกึ๊ดว่าจะช่วยได้ตลอดไปก็คอยดู!”