กว่าร่างบางจะรู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่จิตตาสะกิด เธอจึงหันมาถวายดอกไม้ธูปเทียนให้พระ หลังจากทำพิธีลาศีลเรียบร้อยแล้วพระอาจารย์มนูจึงเอ่ยขึ้น
“เห็นเด็กวัยแบบพวกโยมมุ่งทางธรรมะแบบนี้อาตมาก็ดีใจ”
‘เด็กๆ’ ทั้งสองมีสีหน้าเปื้อนยิ้ม เงยหน้าตั้งใจมองผู้พูดที่นั่งตำแหน่งสูงกว่า ท่านจึงกล่าวต่อ
“อาตมาไม่รู้ว่าที่มานี่มีจุดประสงค์อย่างไรกันหรอกนะ แต่เห็นความมุ่งมั่นเช่นนี้ก็ดีมากแล้ว ปฏิบัติเอาตอนที่อายุยังน้อยๆ นี่แหละดี แล้วก็ไม่ต้องไปสนใจถ้าคนอื่นจะพูดว่ายังสาวยังแส้เข้าวัดทำบุญเหมือนคนแก่ รอแก่ก็ค่อยสะสมบุญเถอะ แต่พอแก่ตัวไปจะลุกก็โอยจะนั่งก็โอยเสียแล้วล่ะโยม”
รอยยิ้มที่ปรากฏตรงริมฝีปากของพระอาจารย์มนูอยู่เนืองนิตย์นั้นคลายออก แล้วจึงบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ตอนนี้เราอยู่ในสมัยกึ่งกลางพุทธกาล บ้านเมืองมันวุ่นวายร้อนร้าย เวลาคนมีปัญหาอะไรเขาไปนึกถึงโน่น…เจ้าพ่อเจ้าแม่ทั้งหลายเป็นที่พึ่งพิงเพราะมันเห็นผลทันตามากกว่าการทำความดีที่เห็นผลช้า อยากรู้อนาคตตัวเองก็ไปถามร่างทรงเอา แต่จะอยากรู้อนาคตไปทำไม รู้แล้วได้อะไรขึ้นมา”
คำว่า ‘ร่างทรง’ สะกิดใจรัตน์สิกาจนต้องก้มหน้างุด หญิงสาวพยายามจะคิดว่าพระอาจารย์เพียงแค่ต้องการพูดโดยรวมเท่านั้น แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียวสันหลัง เพราะถึงเธอจะไม่ได้เกี่ยวโดยตรงแต่ก็โดยอ้อม และอ้อมแบบใกล้ชิดสุดๆ เลยด้วย
“อาตมาอยากจะบอกนะ ถ้าเจอปัญหา…หากไม่คิดช่วยเหลือตัวเองก่อน เทพที่ไหนจะมาช่วยได้ อยากร่ำรวยเงินทองแต่ไม่ดิ้นรนขวนขวาย ไม่ลงมือทำงานทำการ เทพก็บันดาลความร่ำรวยให้ไม่ได้หรอก ดังนั้นการกระทำของตัวเองนี่แหละสำคัญที่สุด”
เมื่อสิ้นกระแสเสียงก็พบว่าบรรยากาศรายรอบตัวมีเพียงความเงียบแบบนิ่งสนิท เงียบจนไม่มีแม้แต่เสียงลมพัดสักนิด สุดท้ายก็มีเสียงทอดถอนหายใจแผ่วเบาดังขึ้นก่อนที่ภิกษุสูงวัยจะเอ่ยว่า
“เกรงว่าพุทธศาสนามีแต่จะเสื่อมถอยลง ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับพวกโยมนี่แหละนะ”
“ขอบคุณพระอาจารย์ที่สั่งสอนค่ะ” หญิงสาวทั้งสองพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน
พระอาจารย์มนูหันมามองรัตน์สิกา อีกฝ่ายรู้สึกราวกับว่าสายตาที่เพ่งมานั้นมองลึกเข้าไปในตัวเธอแล้วเลยผ่านไปยังที่ไกลแสนไกล สถานที่นั้นจึงมีเพียงความเงียบ พักหนึ่งก็ได้ยินน้ำเสียงเรียบทว่าทำให้คนฟังชุ่มชื่นในหัวใจได้
“หมั่นสร้างบุญบารมีนะโยม…ประกอบทานศีลภาวนาบารมีของเราก็จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีดวงตาเห็นธรรม สายตาไม่มืดมัวด้วยมิจฉาทิฐิ โลภะ โมหะ โทสะใดๆ ก็ไม่อาจครอบงำเราได้”
สายตาที่มองมาคล้ายแฝงความนัย เอ่ยจบท่านก็หลับตาลงเป็นเชิงบอกว่าหมดเรื่องพูดแล้ว ทั้งสองจึงก้มลงกราบลา จิตตาเพียงแค่น้อมรับคำสั่งสอนแล้วไม่ติดใจอะไรอีก มีเพียงรัตน์สิกาที่ต้องนำคำพูดของพระอาจารย์มนูมาทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่า
สองสาวกลับออกมาจากวิหารไม้ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นปกติก่อนจะไปอำลาแม่ชีอาวุโสที่คอยดูแลให้คำแนะนำตลอดเวลาที่อยู่วัด เมื่อหิ้วสัมภาระออกมาก็ยังทันได้เห็นท้ายรถยนต์คันที่จำได้ว่าเป็นของชัชพลแล่นออกจากวัดไปไกลลิบๆ โน่น ร่างบางมองตามไปจนลับสายตา หัวใจก็รู้สึกวูบโหวงแปลกๆ
ชายหนุ่มที่กำลังขับรถออกไปมองผ่านกระจกมองหลัง เห็นสองสาวกำลังเก็บของขึ้นรถกันอยู่ หวังเพียงว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกัน จึงเอ่ยเบาๆ ราวกับเป็นถ้อยคำสั่งลาแม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่มีทางได้ยิน
“หวังว่าเราจะสามารถตัดกรรมที่มีต่อกันแล้วไม่ต้องพบเจอกันอีก…อย่าได้เจอะเจอกันอีกเลยนะคุณ”
รถคันงามแล่นฉิวไปตามถนนที่ทอดยาวคดเคี้ยว ทิ้งหญิงสาวคนนั้นเอาไว้เบื้องหลัง
โปรดติดตามตอนต่อไป…