บทที่ 1
สามเดือนก่อน…
กลางป่าเขาสีเขียวครึ้ม พืชพันธุ์ไม้เจริญเติบโตเบียดแน่น ทั้งต้นหญ้า ดอกไม้ป่า ต้นไม้ใหญ่น้อยขนาดต่างๆ กันไป มีบ้างที่สูงตระหง่านจนต้องแหงนมองคอตั้งบ่าหรือใหญ่โตขนาดหลายคนโอบ เสียงนกและสัตว์ป่าตัวเล็กดังแว่วอยู่ไกลๆ หลายอย่างล้วนบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของป่าแห่งนี้
ถนนแสนคดเคี้ยวตัดผ่านป่าแคบพอให้รถแล่นไปได้เพียงคันเดียวเท่านั้น ตลอดเส้นทางค่อนข้างลาดชัน มีบางช่วงที่ฝั่งหนึ่งเป็นเขาฝั่งหนึ่งเป็นหุบเหว ต้องใช้ความระมัดระวังในการขับขี่อย่างมาก เสียงเครื่องยนต์ของรถเก๋งคันหนึ่งดังอื้ออึงอย่างน่าหวาดเสียวเมื่อต้องเร่งส่งให้รถโจนทะยานผ่านถนนที่ชันเกือบสี่สิบห้าองศาแล้วยังต้องหักโค้งอีกด้วย ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายปลายทางมากเท่าไหร่เส้นทางก็ยิ่งสูงชันมากขึ้นเท่านั้น
รัตน์สิกากดลดกระจกหน้าต่างลงส่งผลให้สายลมเย็นเฉียบพัดมาปะทะใบหน้า ดวงตาสดใสเป็นประกายจ้องมองธรรมชาติอันงดงามจับตา ริมฝีปากบางยกยิ้มจนเห็นแก้มทั้งสองข้างได้อย่างชัดเจน เส้นผมสีน้ำตาลที่ถูกซอยสั้นประบ่าแล้วดัดลอนเป็นทรงสวยวันนี้กลับถูกมัดรวบไว้อย่างเรียบร้อย มีเพียงไรผมข้างแก้มและหน้าม้าที่ถูกลมพัดกระจาย
ครู่หนึ่งหญิงสาวจึงหันไปบอกเพื่อนสนิทที่ขับรถอยู่
“ฉันว่าเอากระจกลงเถอะ อากาศเย็นสบายกว่าเปิดแอร์ซะอีก” พูดจบเธอก็ยื่นมือไปกดปิดเครื่องปรับอากาศในรถ อีกฝ่ายจึงลดกระจกหน้าต่างฝั่งของตนเองลงบ้าง
ใบหน้าหวานของจิตตามีร่องรอยความสงสัย เธอกล่าวกับเพื่อนที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการเดินทางมาครั้งนี้ “ไม่นึกเลยนะว่ากว่าจะถึงวัดมันจะยากเย็นขนาดนี้”
“บอกแล้วไงว่าทางมันยาก แกก็ยืนยันว่าไหว”
“ตอนนี้ก็ไหว เพียงแต่ตึงมือมากกว่าที่คิดต่างหาก” คนพูดถอนหายใจหนักๆ ทีหนึ่งเมื่อมองเป้าหมายซึ่งก็คือยอดเขาไกลลิบโน่น
“ของดีก็ต้องฝ่าฟันอุปสรรคสักหน่อยสิ เดี๋ยวพอถึงที่นั่นแกจะหายเหนื่อยแน่นอน ฉันรับรอง!”
“แล้วแกมาเจอวัดกลางป่ากลางเขาอย่างนี้ได้ยังไงกัน”
“เคยมีญาติพามานานแล้ว และก็รู้สึกถูกใจกับความสงบมาก…” รัตน์สิกายืนยันท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“จะคอยดูละกันว่าจะดีอย่างที่ว่าไว้รึเปล่า วัดใกล้บ้านมีเป็นร้อยๆ จะเอาโดดเด่นมีชื่อเสียงหรือสงบเงียบยังไงก็ได้ ดันจำเพาะเจาะจงว่าต้องการมาบวชวัดนี้”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม…”
หญิงสาวตอบสั้นๆ เพราะเธอเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกผูกพันกับวัดแห่งนี้ การสนทนาขาดตอนเพราะฝ่ายหนึ่งจมอยู่ในห้วงความคิด ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องทุ่มเทสมาธิกับการขับรถ
เหตุการณ์ก่อนสองสาวจะบุกป่าฝ่าดงไปยังวัดกลางป่าที่แสนห่างไกลมันเริ่มจากในวันหนึ่ง…
รัตน์สิกานัดกับจิตตาซึ่งเป็นเพื่อนสนิทไปดื่มกาแฟที่ร้านประจำ หลังจากจัดการสั่งเครื่องดื่มและของว่างแล้ว จิตตาที่สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างของเธอก็เอ่ยทักขึ้น
“ไม่ได้เจอหน้ากันแค่ไม่นานทำไมแกเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ ดูสิ…ใบหน้าหมอง ขอบตาดำคล้ำ แววตาดูเหนื่อยๆ แล้วยังรอยช้ำตามตัวอีก ถ้าไม่ใช่เพราะฉันรู้ว่าแกยังไม่มีแฟนก็จะนึกว่าแกเพิ่งอกหักจนกินไม่ได้นอนไม่หลับและทำร้ายตัวเองนะเนี่ย”
หญิงสาวกล่าวพลางจับใบหน้าและเนื้อตัวอีกฝ่ายประกอบการสนทนา แต่ก็ต้องถูกปัดมือออกพร้อมเสียงตวาดแหว
“แกจะบ้าเหรอ ฉันยังไม่เคยมีแฟนแล้วจะอกหักได้ยังไง”
“เออ…นั่นสินะ ขนาดมีผู้ชายดีๆ เข้ามามากมาย คุณหนูใบบุญก็ยังไม่เลือกใครเลย”
“แกก็รู้นี่ว่าคนอย่างฉันมีแค่รักหรือเกลียด ไม่มีคำว่า…ก็โอเคนะ แล้วในเมื่อไม่รักจะคบกันไปทำไม” รัตน์สิกาให้เหตุผลในการครองคานมาอย่างยาวนาน
“ก็อาจจะมีบางคนที่ไม่ใช่รักแรกพบ แต่พัฒนาความสัมพันธ์ไปด้วยกันได้”
“คนเราถ้าไม่ใช่ตั้งแต่แรก อนาคตมันก็ยังคงไม่ใช่หรือเปล่าแก”
“เอาเถอะ เรื่องนั้นช่างมัน ฉันขี้เกียจจะเถียงเรื่องนี้กับแก ประเด็นคือมันเกิดอะไรขึ้น…ตอบ!”
คนถูกถามมีสีหน้าหนักอกหนักใจ พยายามเรียบเรียงเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นไว้ในหัวก่อนจะเล่าออกมาตามลำดับ
“แกก็รู้ใช่ไหมว่าช่วงก่อนฉันไม่สบายน่ะ”
“ใช่ แต่ตอนที่โทรไปหา น้ำเสียงแกก็โอเคอยู่นะ ฉันก็เลยไม่ได้ห่วงเพราะคิดว่าไม่เป็นอะไรมาก”
“ฉันป่วยอยู่นานเลย ที่แกโทรมาแล้วเสียงฉันยังดูดีอยู่นั่นก็เพราะมันเป็นช่วงกลางวัน”
“แล้วกลางวันกับกลางคืนมันต่างกันยังไง” คนฟังถามแบบงงๆ
“อาการป่วยของฉันมันจะมีไข้สูงเฉพาะตอนกลางคืน ตั้งแต่ช่วงหัวค่ำไปจนฟ้าสว่าง แล้วตอนกลางวันก็เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น”