บทที่สาม อวิ๋นเมิ่ง
ในที่สุดเชียนโม่ก็ได้กลับมาอยู่ในเพิงที่พักของทาสทั้งหลาย
ตอนเห็นหน้าหมาง เธอซาบซึ้งใจจนแทบร้องไห้ออกมา
แต่หมางเห็นหน้าเธอกลับตะลึงงันไปชั่วขณะ อาจเพราะก่อนหน้านี้รูปร่างหน้าตาของเชียนโม่ดูมอมแมมมาก บรรดาทาสที่เมื่อก่อนเคยคุ้นกับเธอ พอเห็นรูปร่างหน้าตาของเธอในวันนี้ต่างจำไม่ได้ มีเพียงอาหมู่สองแม่ลูกที่รู้จักเชียนโม่นานกว่าคนอื่นๆ จึงจำได้ก่อนใคร เข้ามาจับมือเธอพูดจีลีจัวลาอยู่พักใหญ่ด้วยความดีใจ
ทุกคนต่างตื่นตะลึง หลังจากจำเชียนโม่ได้ในที่สุดก็พากันเข้ามาห้อมล้อม คำพูดที่พวกเขาพูดออกมา แม้เชียนโม่ไม่อาจฟังเข้าใจทุกคำ แต่ก็รู้ว่าพวกเขาเฝ้าเป็นห่วงตนมาโดยตลอด เพียงรู้สึกอบอุ่นอยู่ในใจ จิตใจพลันสงบลงมา
แน่นอนว่าเรื่องโรคระบาดกำเริบขึ้นอีกครั้งย่อมไม่ใช่เรื่องจริง สองคนที่นอนอยู่บนเสื่อเพียงเป็นไข้หวัดอย่างหนักเท่านั้น ทหารรักษาการณ์เฝ้ามองดูอยู่ไม่ไกล เชียนโม่ก็ไม่โอ้เอ้ เอาสมุนไพรที่หมางเก็บมาต้มน้ำด้วยท่าทางสมจริงสมจังแล้วให้คนป่วยดื่มลงไป จากนั้นก็เฝ้าอยู่ข้างๆ
ดึกแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันไป เชียนโม่นั่งอยู่บนก้อนหิน เห็นหมางยังไม่กลับไป
ก่อนหน้านี้มีคนอยู่มาก พวกเขาไม่สะดวกจะพูดอะไรกัน เวลานี้ประจันหน้ากันอยู่เพียงสองคน ต่างก็แย้มยิ้ม
“โม่ เจ้าเป็นเช่นนี้ดีมาก” หมางกะพริบๆ ตา
เชียนโม่รู้ว่าความหมายของเขาก็คือเธอเนื้อตัวสะอาดสะอ้านเช่นนี้ดูดีมาก จึงอดหัวเราะไม่ได้ ในสถานการณ์เช่นเวลานี้ ต่อให้เธอทาหน้าจนดำเหมือนก้นหม้อก็ไม่มีผลอะไรแล้ว
“หมาง ขอบคุณเจ้ามาก!” เชียนโม่พูดจากใจจริง
“อ้อ…ไม่ต้องขอบคุณ” หมางคล้ายออกจะขัดเขิน เกาๆ ศีรษะ “ข้าก็แค่บอกคนพวกนั้นว่ามีคนล้มป่วยลงอีกแล้ว”
เชียนโม่เม้มๆ ปาก วันนี้ตอนรู้ว่าจะต้องไปปรนนิบัติฉู่หวัง เธอก็รู้สึกไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี โชคดีที่เธอเห็นทาสคนหนึ่งไปส่งฟืนให้ห้องครัว เป็นคนที่อยู่ในกลุ่มตัดหญ้าด้วยกัน คนผู้นั้นอยู่ที่ลานบ้าน เชียนโม่เกิดความคิดขึ้นมาท่ามกลางความร้อนใจ อ้างว่าจะไปปลดทุกข์แล้วหลบเข้าไปที่ลานบ้าน หาแผ่นไม้เล็กๆ แผ่นหนึ่งมาได้ จึงใช้ถ่านเขียนตัวอักษรไว้บนแผ่นไม้แล้วให้ทาสคนนั้นนำไปให้หมาง
หมางเหลียวมองไปรอบๆ แล้วหยิบแผ่นไม้ออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นส่งให้เชียนโม่
ภายใต้แสงไฟที่ส่องสะท้อน บนแผ่นไม้มีตัวอักษรเขียนอยู่ไม่กี่ตัว ‘แสร้งมีโรคระบาดช่วยข้า’ เธอกับหมางมักสื่อสารกันด้วยวิธีกึ่งพูดกึ่งเขียนอยู่เสมอ จึงจำลายมือของกันได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้ประโยชน์
เชียนโม่มองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โยนแผ่นไม้เข้าไปในกองไฟทำลายหลักฐานเสีย เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องบรรทมฉู่หวังก่อนหน้านี้ เชียนโม่ยังคงรู้สึกหวาดกลัว หากช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว เธอก็ไม่รู้จะยุติเรื่องอย่างไรจริงๆ
“ดีที่กงอิ่นรับปากเร็ว” เธอเอ่ย
“ไม่ใช่กงอิ่น” หมางสั่นศีรษะ “กงอิ่นไม่รับปาก เป็นอู่ต้าฟูมาพอดี และรีบไปหาเจ้าในทันที”
“อู่ต้าฟู?” เชียนโม่งุนงง นึกถึงคนที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้ตนต่อหน้าฉู่หวัง ก่อนหน้านี้ก็เพราะเขาช่วยออกหน้าพูดจา กงอิ่นถึงได้ยอมให้เธอรักษาโรคระบาด คิดไม่ถึงว่าเขาจะช่วยเธออีกครั้งแล้ว เธออดแปลกใจไม่ได้ “อู่ต้าฟูผู้นี้มีชื่อสกุลหรือไม่”
“ไม่รู้” หมางกล่าว หยิบแผ่นไม้ไผ่กว้างสามนิ้วมือแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากด้านข้างแล้วใช้มีดหินสับเล่น “รู้เพียงผู้อื่นเรียกเขาว่าอู่ต้าฟู”