“ตั้งแต่เพลินจะแต่งงานกับท่านชาย แม่ก็เอาแต่บังคับให้เพลงทำนั่นทำนี่ตลอดเลย” หญิงสาวบ่น เดินกลับมากระแทกตัวลงนั่งอีกครั้ง
คนเป็นแม่ขึ้นเสียงสูงปรี๊ด เริ่มโมโห “ก็ใช่น่ะสิ ฉันปล่อยปละละเลยแกมานานแล้วนี่ แล้วดูสิ ท่าทางกระโดกกระเดก ญาติท่านชายเขานึกตำหนิพ่อแม่แกไปถึงไหนแล้วรู้ไหม…แล้วงานการอะไรก็ไม่มีทำเป็นชิ้นเป็นอัน จะเลี้ยงตัวได้ไหมเนี่ย…โอ๊ย ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งเครียด”
“ก็แม่อ่ะ เพลงขอเงินก้อนเล็กๆ ไปเปิดบริษัทก็ไม่ให้…ขอทำงานหาประสบการณ์ที่’เมกาก่อนสักสามสี่ปีก็ไม่ยอม…แล้วเพลงจะทำอะไรได้เล่า” หญิงสาวเถียง
“ก็ไปช่วยงานที่บริษัทไง นั่นแหละที่แกควรทำยายเพลง…ฉันให้โอกาสแกทำสิ่งที่ตัวเองชอบมาหลายเดือนแล้วนะ ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรดีขึ้นเลย…แกรับปากเองนะว่าจะใช้หนี้ค่าเล่าเรียนที่แกหนีไปเรียนน่ะ…นี่ล่ะถึงเวลาแล้ว” ทัศนียาพูดยาวเป็นชุด…เพลงพิณมานั่งอยู่ที่นี่แทนที่จะอยู่ที่ภูเก็ตอย่างที่ควร แปลว่างานล่าสุดล้มเหลวไม่เป็นท่าอีกแล้ว…เธอล่ะอยากจะร้องกรี๊ดๆ จริงๆ
เพลงพิณกัดริมฝีปากแล้วค้อนแม่…แม่ใจร้ายจริงๆ ที่ทวงเงินเธอ ถึงตอนนั้นเธอจะอวดดีบอกว่ายืมก็เถอะ…ลูกหลานบ้านอื่นเขาเรียนต่อปริญญาโทปริญญาเอกกันตามสบาย แต่ลูกบ้านนี้ต้องไปช่วยงานที่บริษัทก่อนสองปีถึงจะได้เงินเรียนต่อ…บริษัทที่ขายซอส ขายผักใส่กระป๋องเนี่ยนะ เธอจบสถาปัตย์มา ถ้าต้องไปนั่งมองพวกขวดเอย กระป๋องเอยเลื่อนไปตามสายพานโรงงานถึงสองปี สมองคงขาดจินตนาการหมด…ตอนนั้นเธอก็เลยโพล่งออกไปว่าไม่ขอเปล่าๆ แต่จะขอยืม ถ้าจบมาแล้วจะทำงานใช้คืน…นึกไม่ถึงว่าแม่จะถือเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้
หญิงสาวกลอกตา แล้วแย้งเสียงอ่อนใจ “โธ่แม่อ่ะ กว่าจะออกแบบกว่าจะตกแต่งอะไรสักอย่าง มันไม่ได้ใช้เวลาแค่แป๊บเดียวน้า ถ้าแม่ให้เวลาเพลงมากกว่านี้ แม่จะได้ทั้งเงินคืน แล้วก็มีลูกสาวเป็นดีไซเนอร์ชื่อดัง เท่จะตาย…ให้เวลาเพลินอีกสักปี เอ่อ สองปี และเงินอีกสักก้อนนะแม่นะ”
ทัศนียาโบกไม้โบกมือ…เพลงพิณสบายจนเคยตัว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำเป็นเล่น ตอนเด็กๆ เธอกลัวว่าลูกจะมีปมด้อยที่มีพี่สาวฝาแฝดไอคิวสูงระดับอัจฉริยะก็เลยปล่อยๆ ไม่กวดขัน ให้พันธรผู้เป็นสามีรับผิดชอบดูแลลูกคนนี้ระหว่างเธอวุ่นวายกับลูกคนโตและบริหารกิจการของพ่อแม่ แต่เห็นได้ชัดว่านิสัยรักอิสระ ง่ายสบายๆ แบบฉบับของจิตรกรลูกครึ่งฝรั่งเศสอย่างพันธรถ่ายทอดมาสู่ลูกสาวอย่างเต็มๆ
เล็กๆ เพลงพิณซนมาก หาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวได้ตลอด ตอนหลังสามีเธอรับงานเป็นอาจารย์สอนศิลปะในมหาวิทยาลัยทำให้เวลาว่างน้อยลง จึงส่งเพลงพิณไปเรียนเปียโน เรียนเต้น เรียนขี่ม้า และเรียนวาดรูป เด็กน้อยทำได้ดีในทุกอย่าง แต่ก็เฉพาะเวลาที่ตัวเองพอใจจะทำ เลยไม่สามารถเข้าแข่งขันอะไรหรือได้เกียรติบัตรเชิดชูจากสถาบันไหน พออยู่โรงเรียนก็ก่อเรื่องบ่อยจนเธอและสามีแทบจะมีที่จอดรถประจำที่โรงเรียน หนักเข้าเธอจึงตัดสินใจให้ลูกเป็นนักเรียนประจำ กลายเป็นยิ่งหนัก เพราะลูกโตขึ้นแบบไกลหูไกลตา…พอเธอรู้สึกตัวอีกที เพลงพิณก็เกินที่จะดัดแล้ว
“ไม่ได้…เมื่อก่อนที่ฉันปล่อยๆ แกน่ะก็เพราะยังมีพี่เขาช่วยฉันอยู่ นี่พี่เขาก็จะย้ายไปอยู่อเมริกากับท่านชายแล้ว…ก็เหลือแต่เราน่ะแหละที่จะช่วยแม่” ท้ายประโยคทัศนียาทำเสียงอ่อนลง เผื่อว่าลูกจะตกลงง่ายๆ
เพลงพิณทำเสียงจิ๊จ๊ะ ไม่หลงกลง่ายๆ “แม่อ่ะ แม่ไม่เข้าใจเพลงเลย คนมันไม่ชอบเรื่องธุรกิจนี่ แล้วเรียนมาขนาดนี้ ความรู้ก็ไม่ได้ใช้…ไม่รู้ล่ะ เพลงอยากทำงานที่เพลงรัก…ไม่ยุติธรรมเลย พอเพลินแต่งงานแล้วก็สบายไป แต่เพลงต้องมารับกรรมแทน”